รีวิว Project Power (2020)

 

หนังที่ผสมไอเดียระหว่างยาเสพติดกับพลังเหนือมนุษย์ เพื่อตอบโจทย์ให้ทันยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยหนังซูเปอร์ฮีโร่หรือคนที่มีพลังพิเศษ ขณะที่หนังแนวตำรวจตามจับคนร้ายที่มียาเสพติดดูเก่าและธรรมดาไปเสียแล้ว ดังนั้นจึงเกิดพล็อตยาที่มอบพลังให้ผู้กินเป็นเวลา 5 นาที โดยพลังจะเป็นยังไงแล้วแต่คนนั้น

เปลี่ยนจากยาเสพติดที่ทำได้แค่เสพสุขเพียงชั่วขณะ มาเป็นมอบพลังเหนือมนุษย์ ซึ่งความสามารถนั้นจะใช้ได้แค่ 5 นาที โดยพลังของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ทำให้หนังจะเล่นอะไรจะใส่อะไรก็ได้ ไม่ต่างกับหนังรวมพลังซูเปอร์ฮีโร่ เช่น เปลี่ยนสีผิวหนังตามสภาพแวดล้อม พละกำลังมหาศาล หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า รักษาบาดแผล และอื่นๆที่ใส่ให้เห็นไม่ซ้ำรูปแบบ

ส่วนที่มาที่ไปของพลังมีการให้เหตุผลว่าอ้างอิงมาจากสัตว์ โดยการดึงจุดเด่นออกมาใช้ แน่นอนว่าบางอย่างค่อนข้างเว่อร์ไปสักหน่อย ขณะที่บางอันธรรมดาซะเหลือเกิน ทำให้สเกลหนังไม่ได้ยิ่งใหญ่หรืออลังการ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นมุมหนึ่งในเมืองเล็กๆ อารมณ์คล้ายหนังซูเปอร์ฮีโร่ปุถุชนที่ไม่ได้เก่งหรือมีพลังมากมายมหาศาล สิ่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงคือทักษะการต่อสู้และไหวพริบที่ใครมีก็สู้ได้ ใครไม่มีก็ไม่ต่างกับตัวประกอบที่มาโชว์และจากไปอย่างรวดเร็ว

ในส่วนของพลังไม่มีความเห็นมากสักเท่าไร ที่เน้นหน่อยคือการเล่าเรื่องที่เข้าทางคู่หูตำรวจ (ไม่เชิงว่าต้องเป็นตำรวจหมดซะทีเดียว) โดยหลักเกี่ยวกับ อาร์ท (Jamie Foxx) ที่พยายามตามหาลูกสาวที่ถูกจับตัวไป ซึ่งเกี่ยวโยงถึงยาที่ให้พลังเหนือมนุษย์ ก่อนที่ภายหลังจะร่วมมือกับ โรบิน (Dominique Fishback) เด็กสาวส่งยาที่ขี้กลัวที่มีความฝันอยากเป็นแร็ปเปอร์ และ แฟรงค์ (Joseph Gordon-Levitt) ตำรวจที่พยายามสู้กับกลุ่มคนใช้ยาเพื่อให้เมืองกลับมาสงบอีกครั้ง

เนื้อเรื่องไม่ค่อยอธิบายอะไรมาก ทำให้บางอย่างดูโหว่ขาดความเข้าใจ แต่หลักๆแล้วเข้าใจได้ง่ายและเดินเรื่องไวมาก พอมารู้เหตุผลที่สร้างยาขึ้นมาและที่มาของยาจึงรู้สึกธรรมดา ไม่ได้สะท้อนสังคมอย่างลึกซึ้ง อันที่จริงมีความคล้าย X-Men อยู่บ้างเรื่องการใช้พลังในทางที่ผิด คงจะดีไม่น้อยที่จะทำให้เนื้อเรื่องให้จริงจังและกว้างกว่านี้

เนื้อเรื่องไม่เท่าไร แอ็คชั่นก็ไม่เท่าไรเช่นกัน หลายอย่างดูเร้าอารมณ์ด้วยมุมกล้องที่เหมือนจะทดลองถ่ายแบบนั้นแบบนี้ ความสนุกจึงไม่สุดเพราะพยายามหาลูกเล่นให้เป็นจุดขายตัวเอง แต่สุดท้ายไม่ได้อะไรกลับมานอกจากพล็อตที่ดูเข้าท่าที่สุด น่าเสียดายความมันส์ที่น้อยไปหน่อย ถ้าไม่รีบตัดบทบางตัวละครคงได้บู๊ยาวๆและลุ้นกว่านี้

ปล.ไคล์แม็กซ์ปล่อยพลังเดือดมาก ใครจะคิดว่าพลังแบบนี้มาจากสัตว์ตัวเล็กที่สร้างพลังอลังการแบบนี้ได้

2 ผู้กำกับจากหนัง Paranormal Activity ภาค 3 และ 4 อย่าง เฮนรี จูสต์ และ เอเรียล สคุลแมน ได้โอกาสจากเน็ตฟลิกซ์ทำหนังแนวซูเปอร์ฮีโรในแบบฉบับของตัวเอง โดยได้ แมตสัน ทอมลิน ที่กำลังมีผลงานเขียนบทร่วมกับผู้กำกับ แมตต์ รีฟส์ ในหนังรีบูท

The Batman มารับหน้าที่เขียนบท ว่ากันตามนี้เราน่าจะได้เห็นหนังที่ได้พลังความสดจากทีมเบื้องหลังที่ถือว่าเป็นรุ่นใหม่ การรับโจทย์ตีความหนังซูเปอร์ฮีโรในแบบ X-Men (หรือจะพูดว่า The Inhumans ก็ได้) ที่ได้พลังจากยาแบบชั่วคราวจนกลายเป็นการเสพติดพลัง ก็น่าจะได้เห็นทรวดทรงใหม่ ๆ ที่คาดไม่ถึงอยู่บ้าง

ทว่าในแง่เรื่องราวมวลรวม หนังเล่นท่าพื้นฐานมากพอสมควร มากเสียจนเนื้อหาอาจไม่ใช่จุดเด่นที่ดึงดูดให้เราอยากติดตามเรื่องราว เพราะนับแต่เปิดเรื่องก็แทบเฉลยทันควันว่าพลังเหนือมนุษย์ทั้งหลายแหล่ต่อไปนี้เกิดจากยาลึกลับที่เรือนาม เจเนซิส

นำมาปล่อยให้แก๊งค้ายาในเมืองนิวออร์ลีนไปทดลองแบบฟรี ๆ และเพียงครึ่งทางของหนังก็เฉลยถึงเหตุจูงใจของเหล่าตัวร้ายที่อยู่เบื้องหลังเสียแล้ว เรียกว่าทำลายมู้ดแบบหนังสืบสวนแนวตำรวจปราบแก๊งค้ายาที่วางไว้ดิบดีไปง่าย ๆ แถมเหตุผลที่ว่าก็ไม่ได้เกินคาดแปลกประหลาดใจแต่อย่างใด

รีวิว Project Power (2020)

ทั้งที่ภารกิจของเหล่าตัวเอกในฐานะตัวแทนสายตาผู้ชมไม่ว่าจะเป็น โรบิน เด็กสาวผู้ใฝ่ฝันอยากเป็นแร็ปเปอร์แต่ฐานะทางบ้านปิดบังโอกาสเลยจำต้องมาแจกจ่ายยาพาวเวอร์จากญาติของตัวเอง และบังเอิญต้องมาพัวพันกับ อาร์ต

อดีตทหารที่ออกตามหาลูกสาวซึ่งถูกลักพาตัวไป จนตามรอยมาถึงแก๊งค้ายาที่ญาติของโรบินเป็นสายส่ง และสุดท้าย แฟรงก์ ตำรวจสายขบถแห่งนิวออร์ลีนที่เชื่อว่าการปราบอาชญากรที่มีพลังพิเศษต้องใช้วิธีเกลือจิ้มเกลือ ทำให้เขาเข้ามาใกล้ชิดกับโรบินในที่สุด

เส้นเรื่องใหญ่จึงเป็นการที่อาร์ตออกตามสืบหาลูกสาวโดยมีโรบินและแฟรงก์ติดร่างแหเข้ามาจนกลายเป็นทีมเฉพาะกิจที่ต้องปะทะกับเหล่าผู้มีพลังพิเศษ ขยายวงไปถึงองค์กรข้ามชาติที่ทำการทดลองยาพาวเวอร์ ไม่มีอะไรซับซ้อนไปจากนี้

มียาชนิดหนึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงให้มนุษย์ธรรมดา สามารถมีพลังพิเศษได้ มันจึงกลายเป็นเหมือนสิ่งเสพติดชนิดหนึ่ง และแน่นอน มันมีผลเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น Robin เด็กสาวที่เป็นนักหน้าค้ายาตามท้องถนน ต้องมาพบกับ Art อดีตผู้พันผู้พยายามตามหาลูกสาวที่ถูกจับตัวไป

พร้อมกับ Frank นายตำรวจผู้แอบใช้ยา เพื่อใช้ประโยชน์ในการสืบคดี ทั้งสามคนต้องมาเกี่ยวพันกับเบื้องหลังของยาพลังพิเศษนี้ พร้อมหยุดยั้งไม่ให้ยาพิเศษนี้ สร้างอันตรายกับผู้คน

ถือเป็นความน่าสนใจของการผสมแนวหนังสองแบบสองสไตล์มาใส่ไว้ในเรื่องเดียวกัน นั่นคือแนวหนังซุปเปอร์ฮีโร่เหนือความจริง และแนวแอ็คชั่นตำรวจไล่ล่าผู้ร้ายที่เห็นได้ในชีวิตจริง มันเลยทำให้เนื้อหานั้นไม่ดูแฟนตาซีจ๋าเกินไป และไม่สมจริงเกินเหตุ

เรียกว่ากึ่งสมจริงก็ถือว่าไม่ผิดเท่าไหร่ และสิ่งที่แทบไม่น่าเชื่ออย่างหนึ่งคือ หนังเรื่องนี้กำกับโดย Henry Joost และ Ariel Schulman ผู้ที่เคยกำกับหนังภาคต่อขนหัวลุกอย่าง Paranormal Activity 3-4 ที่เปลี่ยนแนวมากำกับหนังสไตล์แอ็คชั่นแบบนี้ได้

ถือว่าเป็นการทำผลงานที่ค่อนข้างน่าพอใจ บวกกับการนำเสนอของหนังเรื่องนี้ มันมีความเสียดสีสังคมหลากหลายประเด็นให้ขบคิดอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็น ชนชั้นการดิ้นรนของคนยากจนผ่านตัวละครอย่าง Robin หรือนายตำรวจผู้พยายามแหกกฏเกณฑ์บางอย่างเพื่อความยุติธรรมผ่าน

Frank รวมไปถึงประเด็นของการถูกเอารัดเอาเปรียบจากองค์กรใหญ่ ๆ ที่ผ่านตัวละครอย่าง Art มันเลยทำให้สามารถเข้าถึงเนื้อเรื่องนี้ได้ไม่ยากเท่าไหร่นัก

พอเห็นชื่อของ Jamie Foxx นักแสดงผิวสีมากบทบาท กับ Joseph Gordon Levitt ก็บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ต้องสนุกแน่ ๆ ซึ่งหลังจากดูจบบอกเลยว่าการแสดงของทั้งสองคนนี้ไม่ผิดหวังจริง ๆ ฉากแอ็คชั่นมันส์ ๆ ของ Jamie Foxx ที่แสดงออกมาได้ดุเดือดสะใจ

บวกกับบทบาทนายตำรวจมาดกวน ๆ ของ Joseph Gordon Levitt ที่ไม่ได้เห็นบ่อยหลังจากบทนายตำรวจที่ดูไม่โดดเด่นใน Batman Dark Knight Rises ก็แสดงให้เห็นว่าบทบาทนายตำรวจในเรื่องนี้ของเขานั้นทำออกมาได้โดดเด่นและเจ๋งมาก ๆ

และอีกคนหนึ่งที่แสดงได้น่าสนใจอย่าง Dominique Fishback นักแสดงสาวที่ส่วนใหญ่จะมีบทบาทในทีวีซีรีส์ก็รับบทเป็นตัวนำออกมาได้น่าสนใจ แถมทักษะการแร็ปของเธอก็เรียกว่าเข้าขั้นแพรวพราวเลยทีเดียว

ดูหนังฟรี

รีวิว Project Power (2020)

ความรู้สึกหลังดู

ถึงเรื่องราวจะเกิดขึ้น และจบไปแบบไม่มีอะไรใหม่ให้น่าสงสัยติดตามภาคต่อ (ถ้ามี) แต่สิ่งที่ 2 ผู้กำกับจากหนังผีกล้องวงจรปิดได้ปล่อยของไว้ กลับคือ งานอาร์ตและซีจีที่ตื่นตาเกินมาตรฐานหนังเน็ตฟลิกซ์ทั่วไป มีความสดใหม่ด้านภาพที่ทรงพลัง

ฉากที่อาร์ตต้องปะทะกับมนุษย์เพลิงตอนต้นเรื่องจัดว่าตื่นตาตรึงใจได้ไม่น้อยทีเดียว การรอคอยดูพลังของแต่ละตัวละครกลายเป็นความน่าติดตามมาก ๆ ว่าคนนั้นจะมีพลังแบบไหน และแสดงออกพลังด้วยซีจีอย่างไร ซึ่งก็มีทั้งตัวที่เจ๋งมาก ๆ อย่างมนุษย์เพลิง มนุษย์น้ำแข็ง มนุษย์ยักษ์ แล้วก็ที่ดูธรรมดา ๆ อย่างมนุษย์กายเหล็ก หรือแค่มีพลังกายเพิ่มเท่านั้น

ในขณะที่รายละเอียดของพลัง ก็มีความสดใหม่ในการนำเสนอ เช่น การใช้ยาที่มีเวลาจำกัดในการออกฤทธิ์ไม่กี่นาที ทำให้ต้องวางแผนการใช้ หรือการใช้เกินขนาดร่างกายรับไม่ไหวก็ตายได้ และไม่ใช่ทุกคนที่จะรับพลังได้ตั้งแต่เม็ดแรก บางรายตัวระเบิดไปเลยก็มี

อย่างไรก็ตามคำอธิบายที่มาของพลังก็ยังเป็นรูโหว่เล็ก ๆ เมื่ออาร์ตเฉลยว่าพลังจากยานี้มีที่มาจากพลังของพวกสัตว์ ซึ่งยากจะหาคำอธิบายว่ามนุษย์เพลิงกับมนุษย์น้ำแข็ง ไปเอาพลังจากสัตว์ประเภทไหนมา แต่ก็ไม่ได้เป็นจุดอ่อนร้ายแรงนัก (แต่ร้ายแรงแน่ถ้าจะมีภาคต่อแล้วยังยึดคำอธิบายนี้)

ดูหนังใหม่

รีวิว Project Power (2020)

สิ่งที่จูงใจให้หนังน่าดูอีกอย่าง คือการมาโชว์ฝีมือของ เจมี ฟ็อกซ์ ในบท อาร์ต ที่อาจไม่ใช่งานยากของฟ็อกซ์นักเพราะตัวละครมีเป้าหมายเดียวคือห่วงและตามหาลูกสาว มีความขัดแย้งในตัวแค่ว่าไม่ใช่คนเลวแต่ต้องใช้วิธีการที่รุนแรงในบางครั้งเพื่อสืบหาคนที่ลักพาตัว

ในขณะที่ดาราอีกคนอย่าง โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์ ก็สวมบท แฟรงก์ ตำรวจนอกคอกที่รักเมืองเกิดจนยอมขายวิญญาณให้พลังได้แบบไม่ยากเย็นเช่นกัน

โจทย์หนักน่าจะมาอยู่ที่ดาราหน้าใหม่อย่าง โดมินิก ฟิชแบ็ก ดาราสาวสายทีวีซีรีส์ที่ได้บทนำจากการโชว์ฝีมือในหนังโรงสายเวทีประกวดเพียงเรื่องเดียว แล้วต้องมาปะทะกับดาราเบอร์ใหญ่ทันที โดยตัวละคร โรบิน ของเธอเป็นตัวแทนผู้ชมให้เข้าไปสู่โลกของหนังอย่างแท้จริง ซึ่งพูดกันตามตรงว่าด้านเซ็กซ์แอปพีลของเธอนั้นไม่ได้เป็นจุดแข็ง แต่

การสื่อภาวะของวัยรุ่นที่สับสนในชีวิตตัวเองไม่พอแล้วบังเอิญต้องมาเจอปัญหาใหญ่ที่ผู้ใหญ่ยังรับมือลำบาก ก็ถือว่าแสดงได้ผ่านมาตรฐาน พอพยุงหนังไปได้ ซึ่งก็น่าเสียดายถ้าบทหนังเปิดโอกาสให้เหล่าตัวละครนำมีมุมที่ลึกและน่าสนใจแตกต่างจากตัวละครสูตรที่ใช้กันบ่อยแล้วอย่างนี้ หนังน่าจะมีจุดแข็งหลักในการนำเสนอภาคต่อได้

รีวิว Project Power (2020)

ถ้าอยากจะมีพลังพิเศษสักอย่างหนึ่ง คุณอยากจะมีพลังอะไร? คำถามนี้มันอาจจะเป็นเรื่องที่ดูเหมือนไม่เป็นจริงและชวนฝันสำหรับใครหลาย ๆ คน หนังซุปเปอร์ฮีโร่จึงกลายเป็นสิ่งที่ตอบสนองถึงความฝันของคนที่อยากจะมีพลังพิเศษนั้น และถ้าหากมีพลังพิเศษให้คุณได้ใช้สมหวัง แต่มีเวลาจำกัดเพียงแค่ 5 นาทีเท่านั้น คุณจะเอาหรือไม่? และนี่คือหนังที่จะบอกคำตอบกับคุณได้กับ Project Power

สรุป นี่เป็นหนังเน็ตฟลิกซ์สายซูเปอร์ฮีโรที่ผิวหน้าวูบวาบตื่นตาทั้งงานภาพ งานอาร์ต และซีจี มีรายละเอียดเกี่ยวกับพลังที่คิดว่าต่อยอดพัฒนาให้สนุกได้มากกว่านี้ มีดาราที่เห็นก็คุ้นหน้าทำให้อยากดูเป็นแม่เหล็กได้ แต่กระนั้นถึงภายนอกจะตื่นตาเพียงใด แต่ภายในก็ยังไม่ตราตรึงใจนัก ด้วยบทที่ยังหาจุดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของตนเองไม่เจอ

 รีวิวหนังออนไลน์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *