รีวิว Jurassic World Dominion
สวัสดีครับวันนี้แอดจะมารีวิวหนังใหม่ล่าสุดในปีนี้นั้นคือเรื่อง Jurassic World Dominion ในบรรดาหนังที่ผู้คนรอคอยและติดตามชมมายาวนาน คงมีแฟรนไชส์สวนสนุกไดโนเสาร์นี่แหละ หลังจูราสสิคพาร์คอาละวาดไป 3 ภาครวด สวนสนุกก็ถูกปลุกชีพขึ้นมาอีกครั้งจนกลายเป็นอีกไตรภาค และนี่คือภาคที่หกที่เขาว่าจะเป็นบทสรุปของเรื่องราวทั้ง 2 ไตรภาค แถมภาคนี้ ‘Jurassic World Dominion’ ชื่อไทย ‘จูราสสิค เวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ ยังจะดึงดาราชุดเก่ากลับมารวมทีมอีกด้วย
หลังจากเหตุการณ์ กดปุ่ม’ ใน ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ถือเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นของบทสรุปไตรภาคไดโนเสาร์ครองโลกใน ‘Jurassic World Dominion’ (2022) หรือ ‘จูราสสิคเวิลด์ ทวงคืนอาณาจักร’ ภาพยนตร์ภาคที่ 3 ของไตรภาคจูราสสิค เวิลด์ (Jurassic World) และภาพยนตร์ลำดับที่ 6 ในจักรวาลจูราสสิค นับตั้งแต่ที่ภาพยนตร์ภาคแรก ‘Jurassic Park’ (1993) ออกฉายเมื่อเกือบ 30 ปีที่แล้วโน่น
แต่กว่าที่น้องบลู และเหล่าไดโนเสาร์จากยุคจูราสสิกจะได้กลับมาโลดแล่นกันในปีนี้ ตัวหนังก็ถือว่าต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมามากพอสมควร ทั้งกระแสจากภาคที่แล้ว ‘Jurassic World 2: Fallen Kingdom’ (2018) ผลงานการกำกับของ ‘เจ. เอ. บาโยนา’ (J. A. Bayona) ที่ได้คะแนนมะเขือเน่าจากเว็บไซต์ Rotten Tomatoes เพียงแค่ 47% ต่ำที่สุดในบรรดาแฟรนไชส์จูราสสิก พาร์ก แม้จะทำรายได้ค่อนข้างดี แต่พอออกทรงลูกผีลูกคนขนาดนี้ อาจารย์ปู่ ‘สตีเวน สปีลเบิร์ก’ (Steven Spielberg) Executive Producer เจ้าของแฟรนไชส์ เลยเรียกตัว ‘โคลิน เทรวอร์โรว์’ (Colin Trevorrow) ผู้กำกับจาก ‘Jurassic World’ (2015) กลับมากำกับในภาคนี้อีกครั้ง
อีกอุปสรรคใหญ่ยิ่งกว่าน้อนไดโนเสาร์กิแกนโนโตซอรัส (Giganotosaurus) ก็คือ ช่วงเดือนมีนาคม 2020 กองถ่ายต้องหยุดถ่ายทำทั้งที่เพิ่งเปิดกล้องไปได้แค่ 13 วัน เพราะการระบาดของโควิด-19 ทีมงานเลยต้องทำงานโพสต์โปรดักชัน และงานด้านวิชวลเอฟเฟกต์กับฟุตเทจที่ถ่ายมาได้ไปพลาง ๆ และจำต้องยอมเลื่อนกำหนดฉายจากเดิมที่วางแผนฉายในปี 2021 ออกไปอีก 1 ปีเต็ม รีวิวหนังฝรั่ง
ครั้งนี้เป็นทีของผู้กำกับ ‘Jurassic World’ ภาคแรกอย่าง Colin Trevorrow ที่หวนคืนนั่งบังเหียนอีกครั้ง พร้อมทั้งร่วมเขียนโครงเรื่องและบท ด้วยความพยายามจะนำนักแสดงในไตรภาคเก่ากลับมาเจอกับบรรดานักแสดงในไตรภาคใหม่ เพื่อจะสร้างมันกลายเป็นบทสรุปที่ตราตรึงหัวใจแฟนหนังที่ติดตามมันยาวนานร่วม 30 ปี
แต่จะสมใจอย่างที่หวังมั้ยนั่น คนที่จะให้คำตอบได้คงเป็นตัวคุณเอง
สถานการณ์เริ่มคลี่คลายในเดือนกรกฏาคม 2020 ทางยูนิเวอร์แซล สตูดิโอส์ (Universal Studios) จึงยอมควักเงินอีก 5 ล้านเหรียญสำหรับเซ็ตมาตรการความปลอดภัย ถือว่าเป็นกองถ่ายแรก ๆ ที่กลับมาเริ่มถ่ายทำอีกครั้งหลังการระบาดครั้งใหญ่ เริ่มตั้งแต่การร่างเอกสารคู่มือมาตรการจำนวนนับร้อยหน้า แจกให้กับนักแสดงและทีมงานทุกคน มีจุดตรวจคัดกรอง มีห้องฉุกเฉินในกองถ่ายกรณีพบผู้ติดเชื้อ นักแสดงและทีมงานจะต้องกักตัวในโรงแรมที่ยูนิเวอร์แซลเช่าไว้ทั้งอาคารเพื่อใช้เป็นบับเบิลที่ควบคุมอย่างเข้มงวด
รีวิว Jurassic World Dominion
โอเว่น เกรดี้ (Chris Pratt/คริส แพรตต์ จากหนัง ‘Guardians of the Galaxy Vol.2’ และ ‘Passengers’) และแคลร์ (Bryce Dallas Howard/ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิร์ด จากหนัง ‘Rocketman’ และ ‘The Help’) ใช้ชีวิตด้วยกันกลางป่า พวกเขาเลี้ยงดูเด็กสาว เมซี่ ล็อกวูด (Isabella Sermon จากหนัง ‘Jurassic World: Fallen Kingdom’) อย่างเข้มงวด ไม่ยอมให้ออกไปไหน โดยเฉพาะการข้ามสะพานเข้าไปในเมือง มีความจริงบางอย่างที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเด็กสาวคนนี้
อีกทั้งเขาพบว่า บลู เจ้าแรปเตอร์ที่เขาคุ้นเคยมันมีลูกน้อย เป็นการค้นพบที่เหลือเชื่อมากว่ามันขยายพันธุ์เองได้ แต่แล้ววันหนึ่ง พวกโจรนักจับสัตว์ก็มาลักพาลูกน้อยของบลูไป
เขาจึงเดินทางมายังไบโอซินเพื่อนำลูกของมันกลับคืนสู่อกแม่
ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เอลลี่ แซตเลอร์ (Laura Dern/ลอร่า เดิร์น จากหนัง ‘Marriage Story’ และ ‘Little Women’) ก็เดินทางไปหาเพื่อนเก่าอย่าง อลัน แกรนต์ (Sam Neill/แซม นีล จากหนัง ‘Hunt for the Wilderpeople’ และ ‘The Commuter’) นักบรรพชีวินที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสงบค้นหาซากไดโนเสาร์อยู่ที่ไหนสักแห่ง เธอมาหาเขาไม่ใช่เพื่อฟื้นความหลัง แต่เพราะต้องการให้เขาร่วมเดินทางไปยังไบโอซินเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับฝูงตัํกแตกยักษ์ที่ขยายพันธุ์รวดเร็วเกิ๊น พวกเขาได้พบกับ ดร.เอียน มัลคอล์ม (Jeff Goldblum/เจฟฟ์ โกลด์บลูม จากหนัง ‘Thor: Ragnarok’ และ ‘The Grand Budapest Hotel’) ศาสตราจารย์ผู้เชี่ยวชาญโลกดึกดำบรรพ์ที่สอนพิเศษอยู่ที่นั่น
ทั้งสองทีมจากสองไตรภาคกำลังมาพบเจอกัน และต้องผจญภัยในดินแดนที่สัตว์ล้านโลกปีกำลังใช้ชีวิตอยู่
ความรู้สึกหลังดู
4 ปีหลังจากอิสลาร์ นูบลาร์ ถูกทำลาย เหล่าไดโนเสาร์พันธุ์ต่างๆ กำลังรุกล้ำพื้นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ พวกมันออกล่าหาอาหารที่เคยเป็นของมนุษย์ อาศัยและพบเห็นได้ทั่วไป และหลายครั้งก็ล่ามนุษย์กินเป็นอาหาร แต่ก็เป็นมนุษย์นี่แหละที่ปรับตัวไว ไบโอซิน (Biosyn) เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่สร้างขึ้นมาด้วยภาพพจน์ที่สวยหรู บอกว่าพวกเขาตั้งใจให้มนุษย์ได้เรียนรู้จากไดโนเสาร์ พวกเขาต้องการคิดค้นหาวิธีที่อยู่รอดด้วยการทดลองศึกษาไดโนเสาร์ แต่แท้จริง พวกเขามีเบื้องหลังอะไรแอบแฝงหรือไม่?
เอาจริงๆ แค่หนังเล่าว่ามีบริษัทหนึ่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจด้านนี้ มันก็จะเหลือเชื่อเกินไปแล้วล่ะ
เต็มไปด้วยไดโนเสาร์ แต่เรื่องราวเบาบาง
เป็นความพยายามที่จะนำกลุ่มนักแสดงในไตรภาคก่อนกลับมาและเจอกันกับกลุ่มนักแสดงในไตรภาคใหม่ จึงมีการจัดวางให้ตัวละครสองกลุ่มต่างมีเหตุผลของตนเองในอันที่จะเดินทางไปยังพื้นที่ของไบโอซิน หนังเริ่มต้นด้วยการปูพื้นให้ผู้ชมมองเห็นก่อนว่า ตัวละครสองกลุ่มพบเจอสถานการณ์อะไร จากนั้นจึงเข้าสู่ช่วงเวลาของการผจญภัย และสุดท้ายพวกเขาก็มาพบกันที่ปลายทาง
อย่างไรก็ดี ความน่าเชื่อในบทของภาคนี้ถือว่าค่อนข้างต่ำ ทำให้ความสนุกของหนังมีเพียงการเฝ้ามองดูการเอาตัวรอดของมนุษย์จากเหล่าสัตว์ยุคโบราณที่มีทั้งร่างกายที่ใหญ่โตและแข็งแรงกว่า ซึ่งหลายฉากก็ทำได้ลุ้นระทึกมากทีเดียวแหละ บางฉากชวนลุ้นไม่ต่างจากหนังบอนด์ ขณะที่บางฉากก็ชวนนึกว่าดูหนังอินเดียน่าโจนส์อยู่
สิ่งที่เขาทำคือความพยายามใส่สิ่งที่เขาคิดว่าผู้คนปรารถนาจะได้พบในหนังแนวนี้ นั่นคือ การใส่สวนสนุกยุคจูราสสิคเข้ามาให้มากที่สุด มีไดโนเสาร์หลากหลายพันธุ์ปรากฏตัวอย่างต่อเนื่อง ฉากไดโนเสาร์ต่อสู้กัน ฉากที่คนต้องดิ้นรนเอาตัวรอดจากพวกมัน หลายครั้งจึงดูเหมือนมันโผล่มาอย่างไม่ค่อยมีเหตุผลรองรับที่หนักแน่นพอ
อีกหนึ่งสิ่งที่เขาทำให้เรา คือ การหยิบเอาความรู้สึกคุ้นเคยจากภาคเก่าเข้ามาใส่ ฉากจำจากภาคก่อน ตัวละครจากภาคเก่า ธีมดนตรีประกอบที่คุ้นเคย พร้อมใส่ฉากและเรื่องราวที่ชวนรู้สึกถึงหนังเรื่องอื่นๆ เพื่อเสริมสร้างให้หนังมีความหลากหลายสูงสุดทั้งด้านอารมณ์ ตัวละครและที่สำคัญ คือสายพันธุ์ไดโนเสาร์
นี่คือบทสรุปแล้วใช่หรือไม่?
“เราไม่ใช่แค่ควบคุมธรรมชาติไม่ได้ ซ้ำร้าย เรายังตกเป็นเบี้ยล่างมันเสียด้วย”
หนังบอกเล่าถึงสมดุลอันเปราะบางที่กำลังถูกสั่นคลอนอย่างแรง เมื่อมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ครองโลกในปัจจุบัน หาญกล้านำสัตว์ร้ายที่เคยครองโลกในยุคโบราณกลับมา พวกมันทั้งแข็งแรงกว่าและดุร้ายกว่า หากต้องอาศัยอยู่ร่วมในช่วงเวลาเดียวกับมนุษย์ มันคือการแข่งขันเพื่อจะเป็นฝ่ายเหลือรอด แต่หนังบอกว่า มนุษย์ผู้มีมันสมองที่เหนือกว่าไดโนเสาร์นี่แหละที่คอยหาทางควบคุมและใช้ประโยชน์จากพวกมัน
เหมือนหนังพยายามจะตั้งคำถามว่า มนุษย์จะยังเป็นลำดับสูงสุดอยู่ไหม ในวันที่มีเหล่าไดโนเสาร์มาขันแข่ง
แต่แล้ว เรื่องราวที่ถูกบอกเล่ากลับเป็นภารกิจของเหล่ามนุษย์ที่ต้องการไปช่วยลูกไดโนเสาร์และภารกิจสืบหาต้นตอตั๊กแตนยักษ์ ประเด็นของการหาสมดุลระหว่างสองเผ่าพันธุ์และการอยู่ร่วมกันอยู่มนุษย์กับไดโนเสาร์เลยดูเบาบาง พร้อมทั้งเล่าถึงการที่มนุษย์พยายามจะเล่นบทพระเจ้าที่เคยใช้มาในภาคก่อนๆ มันจึงดูซ้ำซากไม่ไปไหน แถมยังลงเอยอย่างชวนรู้สึกกังขา ทำให้เราสงสัยอยู่ในใจว่า ตกลงนี่คือบทสรุปแล้วใช่ไหม อาจเป็นความคาดหวังของคนดูก็ได้ ว่าหนังจะเล่าเรื่องได้หนักแน่นทรงพลัง
แต่สิ่งที่ได้มาเป็นเพียงการเซอร์วิสแฟนหนัง ให้พวกเขาได้ดูฉากที่มีไดโนเสาร์ให้มากที่สุด…เท่านั้นเอง
หากจะมองเป็นหนังปิดไตรภาค ก็ถือว่าเป็นการปิดไตรภาคที่ค่อนข้างโอเคนั่นแหละครับ แม้อาจจะยังไม่ถึงขั้นประทับใจ แต่ถ้ามองเป็นหนังบันเทิงครบรสสำหรับครอบครัว หนังของคนรักไดโนเสาร์ หรืออยากโดนพลังเสียงจากลำโพงหมื่นวัตต์ระบบ IMAX อัดกระแทกรูหู หนังเรื่องนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์ที่ไม่ว่าจะดูแบบไหนก็ไม่น่าจะเสียดายค่าตั๋วครับ