รีวิว The Mist (2007)
ความสยองขวัญ หวาดกลัวในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จักและมองไม่เห็น เป็นหนึ่งในสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์ และถ้าหากเอาทั้งสองสิ่งนี้มาหลอมรวมกันก็จะได้องค์ประกอบของความ “สยองขวัญ” เดรย์ตัน คุณพ่อลูกหนึ่งที่ออกมาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตในเมืองพร้อมกับลูกชาย แต่แล้วในระหว่างทีกำลังช้อปปิ้งนั้นก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด เมื่อมีหมอกเข้ามาปกคลุมเมือง จนแทบมองอะไรไม่เห็น
บางสิ่งยิ่งเห็นชัด ก็จะยิ่งคลุมเครือ และบางสิ่งยิ่งคลุมเครือ ก็จะยิ่งเห็นชัด ในชีวิตประจำวันของคนเรา แม้ทุกอย่างจะสามารถเห็นได้ง่าย มองได้ชัด มันก็อาจมีหมอกบางชนิดปิดบังตัวตนที่แท้จริงของเรา ซ่อนความคิดความเชื่อบางอย่างไว้ลึกๆ ภายในครั้นยามเจอวิกฤติ ชีวิตผิดปกติ สังคมอลหม่าน สถานการณ์คลุมเครือ ยามนั้นอาจเป็นตัวแปรสำคัญที่ชักนำเอาตัวตนจริงๆ ที่ซ่อนเร้นอยู่ให้ออกมาโลดแล่นความชัดเจนที่คลุมเครือ…
คนที่เดินออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตไปก็ล้วนแล้วแต่ประสบกับชะตากรรมที่ไม่สวยนัก ท่ามกลางความสงสัยว่าสิ่งมีชีวิตจากภายนอกนั้นคืออะไรกันแน่ กลับก่อให้เกิดสัญชาตญาณดิบของมนุษย์แต่ละคนภายในซุปเปอร์มาเก็ตแห่งนี้ โดยมีความกลัวเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาแยกจากกันแทนที่จะร่วมมือกัน
ความแน่นอนที่พร้อมผันแปร… เหล่านี้คือสิ่งธรรมดาบนโลกจริงที่ The Mist คือหนังสัตว์ประหลาดบุกเมืองที่หากดูเผินๆ มันก็อีหรอบเดิมๆ ครับ ต้องมีสัตว์ร้ายเพ่นพ่าน มีคนตายอนาถ มีคนรอดหวุดหวิด มีคาวเลือดคละคลุ้งแต่พอมองให้ลึกก็ตระหนักได้ว่าสัตว์ประหลาด ความตาย ความตื่นเต้นและสยดสยอง คืออาหารจานรอง เพราะจานหลักจริงๆ คือ “เรื่องจิตใจของผู้คน”คนกำกับคือ Frank Darabont
เจ้าของผลงาน The Shawshank Redemption, The Green Mile , The Majestic และล่าสุดก็ดังไม่เสร็จไปกับซีรี่ส์ซอมบี้เจาะใจคนอย่าง The Walking Dead (แกทำเรื่องไหนต้องมี The นำหน้าเสมอ ยกเว้น Buried Alive งานกำกับหนังยาวเรื่องแรก เรื่องนั้นแม้จะทำลงทีวี แต่คุณภาพนับว่าดีมีระดับ)หนังสร้างจากนิยายขนาดสั้น (หรือเรื่องสั้นขนาดยาว) ของ Stephen King โดย King
ได้ไอเดียตอนเขากับลูกชายไปซื้อของเข้าบ้านในวันหลังจากที่เกิดพายุใหญ่ ขณะที่กำลังเลือกขนมปังฮอทด็อกอยู่นั้นในหัวก็แล่นเกิดจินตนาการว่าถ้านาทีนั้นมีไดโนเสาร์บินได้โผล่เข้ามามันจะเป็นเช่นไร แล้วสมองก็แล่นต่อจนถึงตอนจ่ายเงินที่แคชเชียร์ เขาได้พล็อตคร่าวๆ ว่าด้วยคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องติดอยู่ในซูเปอร์มาร์เก็ต เนื่องจากข้างนอกมีสัตว์ประหลาดสารพัดรายล้อมพวกเขาอยู่ แล้วเขาก็กลับไปปั่นงานจนได้เป็นเรื่องลงตีพิมพ์ในปี 1980
สำหรับ The Mist คือหนังที่เหมาะกับคนที่คิดว่าชีวิตกำลังแฮปปี้ดี แต่อยากลองเผชิญกับความหดหู่สิ้นหวังกันดูบ้างเพื่อให้ชีวิตดู Balance ขึ้น ด้วยความที่หนังเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดและได้สัมผัสกับสันดานดิบของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับความกลัวและอันตรายนั้น
จะมีปฏิกิริยาออกมากันอย่างไร จนทำให้แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนหนังเผชิญหน้ากับหมอกปริศนา หรือสัตว์ประหลาดแต่จริงๆ แล้วกลับเป็นการเล่าถึงการเผชิญหน้ากับสภาพจิตใจตัวเองมากกว่า ใครที่ชอบหนังโทนๆ นี้อย่าง Cloverfield หรือ The Thing แล้ว อยากให้ลองเรื่องนี้ เพราะจะได้มีตอนจบที่ฝังใจไปเหมือนคนอื่นๆ ที่ได้ดูมา
The Mist เป็นหนังแนวสยองขวัญ-ระทึกขวัญอีกเรื่องจากปลายปากกาของเจ้าพ่อนิยายแนวสยองอย่าง Stephen King และได้ผู้กำกับคู่ใจอย่าง Frank Darabont ที่เคยทำผลงานดีๆ ร่วมกันมาแล้วมากมายอย่าง The Shawshank Redemption และ The Green Miles ที่ดูแล้วแต่ละแนวไม่ค่อยซ้ำกันสักเท่าไรเลย ซึ่งใน The Mist นั้นแม้ภายนอกจะดูเป็นหนังสยองขวัญแต่จริงๆ แล้วกลับมีจุดเด่นในการเล่นกับจิตใจของมนุษย์ในยามที่เกิดความกลัวและเกิดปัญหาได้เป็นอย่างดี ว่าคนเรานั้นจะกลายสภาพมาเป็นอย่างไรได้บ้างเมื่อต้องอยู่ภายใต้สภาวะกดดันจนทุกอย่างอยู่เหนือเหตุผลไปจนหมด
รีวิว The Mist (2007)
ปีที่ฉาย : 2007
ความยาว : 2.06 ชั่วโมง
คะแนน IMDb : 7.1/10
เรื่องราวของหนังสยองขวัญ The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์ เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้รอดชีวิตในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่พยายามหนีจากหมอกประหลาดหนาทึบที่เข้ามาปกคลุมทั่วทั้งเมืองเอาไว้อย่างกะทันหันเข้าไปอยู่ในซูเปอร์มาเก็ตในระหว่างการรอคอยความช่วยเหลือพวกเขาพบว่าในม่านหมอกภายนอกมีสิ่งมีชีวิตกระหายเลือดแฝงตัวอยู่ ที่พร้อมจะกระชากร่างของผู้คนที่เข้าไปในหมอกให้หายสาบสูญไปตลอดกาลเหลือเอาไว้เพียงกองเลือดและเสียงกรีดร้อง เมื่อความตายในม่านหมอกมาเคาะถึงประตูหน้า ผู้คนที่กำลังสับสน หวาดกลัว ได้พยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวเองให้รอด…
หนังสยองขวัญ The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์ เป็นผลงานของเจ้าพ่อหนังสยองขวัญ Stephen King ที่หากมองเพียงผิวเผิน หลายคนอาจคิดว่าหนังสยองขวัญ The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์ เป็นหนังที่ลงทุนต่ำ เพราะฉากของเรื่องมีเพียงไม่กี่ฉากแถมทุกฉากยังถูกม่านหมอกที่หนาทึบจนถึงขนาดมองไม่เห็นปลายเท้าของตัวเองเลยด้วยซ้ำปกคลุมเอาไว้ แต่เพราะความหนาของหมอกนี้เอง ที่ช่วยเพิ่มดีกรีความน่าสนใจและลึกลับให้กับเรื่องราวได้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยิ่งไม่รู้ว่ามีอะไรเดินเพ่นพ่านอยู่ในหมอก หน้าตาเป็นอย่างไร!? ต้องรับมือกับพวกมันอย่างไร!? ปริศนาที่ถาโถมเข้ามาเหล่านี้ พร้อมกับฝูงชนที่สติใกล้แตกอยู่ตลอดเวลา ยิ่งทำให้เรื่องราวดูมีมิติมากขึ้นกว่าเดิม
ในส่วนของนักแสดงในเรื่องนี้ต้องขอบอกเลยว่าทุกคนเล่นได้สมบทบาทเป็นอย่างมาก ตัวละครแต่ละคนมีความเชื่อและการแสดงออกที่เป็นตัวเองสูงมากจนดูเป็นธรรมชาติเป็นอย่างมาก จนนำไปสู่ตอนจบที่เชื่อว่าจะทำให้หลายคนต้องคิดตามว่าหากเป็นตัวเองในสถานการณ์ที่บีบคั้นรอบด้านดังกล่าวจะทำอย่างไร!? อย่างไรก็ตามหนังสยองขวัญ The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เพราะ CGI บางส่วนของเรื่องนับว่า “ด้อย” แต่พอนำเข้ามารวมกับหมอกหนาทึบสีเทาที่แสนน่ากลัว ก็พอที่จะกลบจุดด้อยตรงนี้ให้ลดน้อยลงได้พอสมควร
ความรู้สึกหลังดู
ตัวหนังเองใช้พื้นที่ในการสร้างสรรค์หนังอย่างคุ้มค่ามากๆ เพราะตลอดแทบทั้งเรื่องจะอยู่ใน Supermarket เกือบหมด ส่วนข้างนอกก็ปกคลุมด้วยหมอกหนาๆ กันไป เลยใช้ทุนไปเพียงแค่ $18 ล้านเท่านั้น คิดว่าน่าจะหมดไปกับการสร้างหมอกที่เนียนตาดีจนมองอะไรไม่เห็นเลย ซึ่งแม้ว่าหนังจะใช้ฉากหลังแค่เท่านี้ก็จริง แต่กลับปั้นตัวละครออกมาได้
สนุกมากๆ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะต้องชื่นชมในส่วนต้นฉบับนิยายที่คิดคาแรคเตอร์แต่ละตัวละครออกมาได้ดีเช่นนี้ ก่อนที่จะไปชมในส่วนของดาราในเรื่องที่สร้างอารมณ์ร่วมทั้งฝั่งเชียร์และฝั่งที่เกลียดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะป้ามหาภัยที่ดันเอาความเชื่อในเรื่องศาสนาเข้ามาจนทำให้คนเกิดความสติแตกในสภาวะเช่นนี้อีก มันเลยเสมือนเป็นการต่อสู้ระหว่างคนสองฝั่งที่ยังพอมีสติและใช้เหตุผล กับกลุ่มที่บ้าคลั่งไปแล้ว และยอมเชื่อทุกอย่างถ้ามันเป็นทางรอดได้อย่างเข้มข้นถึงใจมากๆ
ในส่วนของตัวหมอกก็สร้างปริศนาให้กับเรื่องได้ดี แม้เราจะไม่รู้ว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้น แต่การออกไปของบางตัวละครก็เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีว่ามันอันตรายมาก ไม่ว่ามันจะเป็นตัวอะไรก็ตาม จนหมอกกลายเป็นสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจอยู่ตลอดทั้งเรื่องเลย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นนอกจากประเด็นเรื่องมนุษย์ที่เข้มข้นแล้ว ทีเด็ดอีกอย่างของหนังก็คือในส่วนของตอนจบของเรื่องราว ที่บอกเลยว่าแม้ว่าเคยดูมาแล้วจะจำเนื้อหาหรืออะไรไม่ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่จะหลงเหลือเอาไว้ในความทรงจำของคุณสำหรับหนังเรื่องนี้ ก็คือตอนจบที่ตราตรึงใจไปจนวันตายอย่างแน่นอน
The Mist เขียนบทและกำกับโดย Frank Darabont ผู้กำกับที่ทำหนังจากหนังสือของ Stephen King มากที่สุด ทั้ง The Shawshank Redemption (1994) หนังที่ประสบความล้มเหลวตอนออกฉาย แต่มีผู้ชมให้คะแนนความนิยมสูงที่สุดเรื่องหนึ่งในภายหลังจนหนังกลายเป็นหนังคลาสสิก (กับการหักมุมตอนจบ ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนังถูกยกย่อง) และ The Green Mile (1999)
ซึ่งทั้งสองเรื่องเป็นหนังที่สร้างจากหนังสือของ King ในจำนวนทั้งหมดที่ไม่ใช่แนวสยองขวัญ เป็นที่น่าเสียดายที่นับตั้งแต่ The Mist เขาก็ยังไม่ได้มีผลงานกำกับหนังออกมาอีกเลย โดยไปเป็นผู้อำนวยการสร้างและผู้เขียนบทของอีกซีรีส์สุดฮิต The Walking Dead (2010-2020) ตลอด 10 ปีมานี้
ตามความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนหลังจากที่ได้รับชมหนังสยองขวัญ The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์จนจบ อยากแนะนำเพียงคำเดียวว่า “ห้ามพลาด!” เพราะหนังเรื่องนี้ลงตัวในเรื่ององค์ประกอบของความ “ไม่รู้” และ “สยองขวัญ”
ได้อย่างน่าประทับใจชนิดที่ว่าทำให้หลายครั้งที่ต้องใจเต้นลุ้นเอาใจช่วยตัวละครให้รอดไปจากเหตุการณ์คับขัน แต่หลายคนอาจจะรำคาญจิตวิทยาของมนุษย์ในการปลุกปั่นมวลชน ท่ามกลางหายนะที่เปลี่ยนให้สถานที่หลบภัยกลายมาเป็น “ลานประหารมนุษย์”
แต่รับรองว่าถ้าหากอดทนกับความกดดันที่เร่งเร้าอารมณ์ความวุ่นวายและน่ารำคาญจนถึงขีดสุดได้ หนังสยองขวัญ The Mist มฤตยูหมอกกินมนุษย์ ก็จะมอบจุดหักมุมหลายอย่างที่ทำให้คุณต้องตาลุกวาวด้วยความตื่นและสะใจ ได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว
“As a species we’re fundamentally insane. Put more than two of us in a room, we pick sides and start dreaming up reasons to kill one another. Why do you think we invented politics and religion?”
“โดยพื้นฐานแล้วมนุษย์เป็นสายพันธุ์ที่มีความบ้าคลั่ง ถ้าเอาคนมากกว่า 2 คนมาไว้ในห้องเดียวกัน พวกเราก็เริ่มแบ่งข้าง และเริ่มหาเหตุผลที่จะฆ่าอีกฝั่งแล้ว ไม่งั้นคุณคิดว่าเราจะสร้างการเมืองและศาสนามาเพื่ออะไรกันล่ะ”