รีวิว Signs (2002) สัญญาณสยองโลก
บทความในวันนี้ ผู้เขียนอยากจะขอพาไปทำความรู้จักกับหนังสยองขวัญที่ค่อนข้างเก่าสักหน่อย แต่รับรองว่าในเรื่องแง่มุมของความสยองขวัญจะมีความน่าสนใจไม่น้อยหน้าของนักสยองขวัญที่ทุ่มงบประมาณไปเป็นจำนวนมหาศาลอย่างในปัจจุบันกันอย่างแน่นอน โดยหนังสยองขวัญที่จะขอกล่าวถึงในวันนี้ก็คือ “Signs สัญญาณสยองโลก” นั่นเอง…
หนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก เป็นเรื่องราวของ “แกรแฮม เฮสส์” บทหลวงที่สูญเสียความศรัทธาที่มีต่อพระเจ้าหลังจากที่ได้สูญเสียภรรยาไปในอุบัติเหตุรถยนต์อันแสนน่าเศร้าเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้อาศัยอยู่ในบ้านฟาร์มหลังเล็กท่ามกลางทุ่งไร่ข้าวโพดกับน้องชาย “เมอร์วิล”
อดีตนักเบสบอลฝีมือดี ลูกชาย “มอร์แกน” และ ลูกสาว “โบ” ชีวิตของพวกเขาดูเหมือนจะสงบสุข แต่อยู่ๆก็มีเหตุการณ์สุดแปลกประหลาดขึ้น เมื่อข้าวโพดในไร่ได้เกิดล้มอย่างราบเรียบราวกับมีคนจงใจ ในขณะเดียวกันแหล่งน้ำของเมืองก็เกิดความสกปรกขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ และสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์สุดหลอนที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
ประเภท : สยองขวัญ / มนุษย์ต่างดาว / ดราม่า
ปีที่ฉาย : 2002
เวลา: 1.47 ชั่วโมง
IMDb: 6.7/10
หนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก เป็นมือของผู้กำกับหนังผีชื่อก้องโลกอย่าง “The Six Sens” ผู้กำกับ M.Night Shyamalan ที่หวนกลับคืนมาเพื่อทวงบัลลังก์คืนหลังจากที่ภาพยนตร์หลังจากนั้น อย่าง “Unbreakable”
ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ใจหวัง แต่หลังจากที่หนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก ก็ดูเหมือนว่าเสียงวิจารณ์จะแบ่งออกเป็นสองฝ่าย โดยฝ่ายที่สนับสนุนให้ความเห็นว่าหนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก เป็นหนังที่มีการเขียนบทออกมาได้เป็นอย่างดี
มีความเร้าอารมณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ ในขณะที่อีกฝ่ายมองว่าหนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก ดำเนินเรื่องได้อย่างน่าเบื่อ ไม่มีเหตุผลรองรับ แต่สิ่งที่ทั้งสองฝ่ายพูดเหมือนกันก็คือบทสรุปตอนท้ายของเรื่องเป็น “ปริศนา” ที่คนดูต้องคิดตามกันเอาเอง
สำหรับผู้เขียนแล้วมองว่า จุดเด่นที่น่าสนใจจริงๆของหนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก คือ การแสดงที่ยอดเยี่ยมของเหล่านักแสดงเด็ก และดารานำอย่าง “เมล กิบสัน” ที่หลอมรวมบทบาทแล้วแสดงออกมากลายเป็นพ่อที่ห่วงลูกของตัวเองอย่างสุดหัวใจ
การแสดงที่เข้าถึงบทของดาราเหล่านี้ ทำให้เกิดการตอบสนองกับเหตุการณ์ “เหนือธรรมชาติ” ได้เหมือนจริง เมื่อรวมเข้ากับบทภาพยนตร์ที่ดี ทำให้เกิด “ความลึกลับที่เรียบง่าย” โดยไม่จำเป็นต้องมีฉากที่โลดโผน เลือดสาดหรือการร่วมเพศ แต่หนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก
กลับสร้างบรรยากาศที่ทำให้คนดูต้องลุ้น เอาใจช่วยตัวละครอยู่ตลอดจนกระทั่งจบเรื่องราว…
หนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก สำหรับผู้เขียนแล้วถือว่าเป็นหนึ่งในหนังในดวงใจที่รับชมซ้ำหลายต่อหลายครั้ง และทุกครั้งเมื่ออายุมากขึ้นก็จะสามารถซึมซับความสยองขวัญที่แตกต่างกว่าเดิม อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไปก็คือ
บรรยากาศที่ยอดเยี่ยมและทำให้ขนลุกแม้จะทราบเรื่องราวในตอนจบอยู่แล้ว มันก็ยังคงรู้สึกหลอนได้เหมือนเดิม ดังนั้น เชื่อคำรีวินี้เถอะว่าหนังสยองขวัญ Signs สัญญาณสยองโลก เป็นหนึ่งในหนังที่แม้ว่าคะแนนจะน้อย แต่ลองหามารับชมสักครั้งรับรองว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังกันอย่างแน่นอน…
รีวิว Signs (2002) สัญญาณสยองโลก
หนังเรื่องนี้ทำเงินไปเยอะ ทุนสร้างล่อไป 72 ล้าน (คาดว่าเหนาะๆ 20 ล้านก็คงตกเป็นของพี่ Mel Gibson) แต่กระแสของมันก็ยังคงเป็นสองทางตามเคยครับ ไม่ชอบก็บ่นแล้วแต่รสนิยมครับ
เรื่องเกี่ยวกับวงกลมปริศนาแห่งทุ่งข้าวโพด ซึ่งปรากฏบ่อยครั้งบนโลกของเรา และวันนึงมันก็มาโผล่บนไร่ของครอบครัวตระกูลเฮสส์ ที่มี เกรแฮม (Mel Gibson) เป็นเขามีลูก 2 คน (Rory Culkin และ Abigail Breslin) และน้องชายอีกหนึ่ง (Joaquin Phoenix) พวกเขาต้องพบกับสิ่งแปลกประหลาดมากมาย ตั้งแต่สัญลักษณ์ลึกลับ ตามด้วยบางสิ่งที่ชอบวิ่งอยู่รอบๆบ้านของเขายามค่ำคืน และสัตว์เลี้ยงของพวกเขาก็ดุร้ายขึ้น ในที่สุด หนังก็เฉลยว่าสัญลักษณ์นั้นหมายถึงอะไร …
สำหรับผมหนังทำได้ดีมากๆ ในทุกๆ ด้านครับ ด้านโปรดักชั่น มุมกล้องอะไรนี่หายห่วงได้ ดนตรีของ James Newton Howard ก็คลาสสิคและเร้าอารมณ์มากๆ โดยเฉพาะตอนไตเติ้ล นักแสดงก็เฉียบขาดครับ ทุกคนเล่นได้ดีและดีมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งฉากบนโต๊ะอาหารนั่นผมต้องขอยกให้เป็นฉากสุดยอดที่สุดฉากหนึ่งเท่าที่เคย มีมาเลยทีเดียวครับ
บทสรุปของหนังก็ดีครับ ยอดเยี่ยมและน่าติดตาม น่ากลัวและลุ้นระทึก หนังสร้างบรรยากาศได้ดี ความน่ากลัวเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้นะครับ อันนี้ก็แตกเป็นสองกระแสน่ะ อย่างพวกผม พวกกอล์ฟอะไรอย่างเนี้ยนะครับ จะชอบและคล้อยตามอารมณ์หนังอย่างมาก ดูแล้วเกร็งกันไปข้างนึงเลยจริงๆ บอกได้เลยว่าหนังมันมาคุตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ แต่บางคนก็บอกว่าหนังอะไรวะ ดูไปไม่เห็นมีอะไรเลย .. อันนี้ก็สุดแท้แต่ครับ แล้วแต่คน แต่ถ้าคุณเป็นคนที่สามารถปล่อยอารมณ์ให้ตามหนังไปได้ล่ะก็ผมว่าคุณจะรู้สึก ได้ถึงความมาคุครับ
สรุปว่าหนังดีครับ ผมชอบและชอบมาก หนังได้อารมณ์และน่าสนใจ เป็นอีกหนึ่งงานที่น่าจดจำของ M. Night Shyamalan
ความรู้สึกหลังดู
ครอปเซอร์เคิล (crop circle) วงกลมปริศนาที่เกิดขึ้นครั้งแรกบนโลกในปี 1686 ที่ทุ่งข้าวโพดของชาวไร่คนหนึ่งในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในตอนแรกพวกเขาคิดว่าไม่มีอะไร อาจเป็นเพื่อนบ้านหรือพวกวัยรุ่นที่คิดสนุกแกล้งเขาก็เป็นได้ แต่ทว่าเมื่อมองจากมุมบนทางอากาศ
พวกเขาทุกคนถึงกับต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าทุ่งข้าวโพดที่ล้มทับกันนั้นเรียงตัวเป็นรูปเป็นร่างอย่างสวยงาม เป็นวงกลมที่มีความสลับซับซ้อนหลายต่อหลายชั้น ที่สำคัญมันยังมีขนาดมหึมาซะจนไม่อาจเชื่อได้ว่ามันคือฝีมือของมนุษย์ ด้วยเสียงเล่าลือจากปากต่อปาก
ทำให้เรื่องราวของครอปเซอร์เคิลถูกแพร่กระจายไปทั่วโลก จากวันนั้นจนถึงวันนี้มีครอปเซอร์เคิลเกิดขึ้นมาแล้วหลายพันหลายหมื่นวง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็นฝีมือมนุษย์และอีกส่วนหนึ่งก็ไม่อาจสรรหาคำมาอธิบายได้
ซึ่งพวกเขาเชื่อกันว่าเป็นฝีมือของสิ่งที่มีสติปัญญาเหนือกว่ามนุษย์มากนัก สิ่งที่พวกเขาเรียกมันว่า…มนุษย์ต่างดาว Signs เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อครอบครัวเฮล ซึ่งประกอบไปด้วยเกรแฮมพ่อม่ายลูกสองและน้องชายของเขา ได้พบวงกลมประหลาดครอปเซอร์เคิลที่ไร่ข้าวโพดของตัวเอง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีเหตุการณ์แปลกประหลาดตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำในบริเวณนั้นเริ่มขุ่นมัวใช้การไม่ได้โดยไม่ทราบสาเหตุ สัตว์ที่เลี้ยงไว้เริ่มแสดงทีท่าเกรี้ยวกราดก้าวร้าว มีบางสิ่งบางอย่างกำลังเฝ้ามองครอบครัวเฮลอย่างลับๆในทุ่งข้าวโพด
พวกเขาเองก็เริ่มรู้สึกได้แล้วว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลกำลังเกิดขึ้นกับพวกเขาแล้ว จากคนสิ้นศรัทธาในพระเจ้าไปแล้ว หลังจากสูญเสียภรรยาไปด้วยอุบัติเหตุเมื่อหลายปีก่อน เกรแฮมจำเป็นต้องเชื่อในพระองค์อีกครั้งหนึ่ง เมื่อพวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่กำลังจะเผชิญหน้าต่อจากนี้นั้น
ไม่มีใครหรืออะไรจะสามารถทำลายมันได้ นอกซะจากการหวังพึ่งพึ่งพระเจ้า ขอให้พระองค์จงเมตตาและให้มันผ่านพ้นไปได้ด้วยดี….
ระดับของเนื้อหา 4 ดาว หนังหยิบจับเอาเรื่องราวของครอปเซอร์เคิลมาเป้นหลักในการดำเนินเรื่อง ซึ่งตัวละครก็เป็นคนที่สิ้นศรัทธาและหมดความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งหมดทั้งมวล ทำให้พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป้นเป้าหมายของพวกมนุษย์ต่างดาว (อาจจะรู้สึก…แต่หมดสิ้นไปแล้วเรื่องความเชื่อ) จนในวินาทีสุดท้ายพวกเขาจำเป็นต้องเชื่อและเรียกศรัทธากลับมาอีกครั้ง เพื่อที่จะปกป้องคนในครอบครัวทุกๆคนเอาไว้ให้ได้ เนื้อเรื่องดีมากนะครับ
ระดับความสยอง 3 ดาว น้อยนิดแต่หนักแน่นครับ มีไม่กี่ฉากหรกครับ แต่ก้ตรึงคนดูไม่ให้กระพริบตาได้เลย ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความลึกลับและเรื่องราวแปลกๆที่เกิดขึ้น ที่พวกครอบครัวเฮลต้องพบเจอ ไล่จากเบาไปหาหนัก จนกระทั่งสุดท้ายความหมายที่แท้จริงของสัญญาลักษณ์ครอปเซอร์เคิลก็ปรากฏครับ ซึ่งต่อจากนั้นก็ต้องมาลุ้นกันล่ะครับว่าพวกเขาจะรอดพ้นจากมันไปได้หรือเปล่า
ระดับความน่าดู 4 ดาว เสียงวิจารณ์แตกออกเป็นสองฝั่งอย่างชัดเจน สำหรับคนที่ชอบหนังระทึกขวัญแบบตื่นเต้นระทึกใจ ก็จะบอกว่าหนังเรื่องนี้มันเฉยๆมาก ดูอืดๆเนือยๆน่าเบื่อเกินไปหน่อย แต่อีกฝั่งก็บอกว่ามันเป็นหนังระทึกขวัญที่ดีเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าะเป็นเรื่องราวความผูกพันธุ์และสายใยคนในครอบครัวที่มีให้กันในยามที่กำลังตกที่นั่งลำบาก ที่สำคัญยังมีการแฝงประเด็นเกี่ยวกับความเชื่อและศรัทธา ด้านความระทึกขวัญถึงมันจะมีน้อยแต่ก็ล้วนแล้วแต่ทรงพลัง และสร้างความตื่นตะลึงให้ผู้ชมได้ไม่น้อยเลยทีเดียว สรุปโดยรวมแล้วผมชอบครับ เพราะหนังมันมีดีมากกว่าที่คิดอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถ้าหากคุณเข้าใจในเรื่องราวและรายละเอียด
ผมอยากพูดถึงหนังเรื่องนี้ในมุมมองของผมสักหน่อย ผมเริ่มชื่นชอบในฝีมือของผู้กำกับอินเดียที่ชื่อ M. Night Shayamalan คนนี้มาตั้งแต่หนังเรื่อง Six Sense ผมว่าแกเป็นคนที่คิดอะไรแปลกกว่าคนอื่น เขียนเรื่องได้เนียน ถ่ายภาพได้สวย และลำดับภาพเล่าเรื่องถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี
ก่อนที่จะเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ ผมคาดว่าคงเป็นหนังแนววิทยาศาสตร์เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมาบุกโลกธรรมดา แต่ด้วยความที่ผมนิยมผู้กำกับอยู่เป็นทุนเดิมจึงไม่ลังเลที่จะเข้าไปดูแม้ว่าจะเดาโครงเรื่องไว้แล้วก็ตาม แกน่าจะแทรกอะไรเข้าไปทำให้หนังออกมาไม่ธรรมดา แล้วก็ไม่ผิดหวัง
เป็นหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวก็จริง แต่หนังไม่ได้ทำให้เป็นหนังแนววิทยาศาสตร์ กลับเป็นการนำเสนอความเชื่อที่ว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุผลมีที่มาทั้งสิ้น แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งดีหรือไม่ดีก็ตาม โดยมีตัวละครหลักอยู่สี่ห้าคนเป็นตัวเดินเรื่อง
ที่สำคัญคือหนังนำเสนอได้ดีและค่อยๆ เฉลยแนวคิดที่ผู้กำกับอยากจะนำเสนอเป็นระยะๆ ทำให้คนดูตามได้อย่างไม่ยากนัก ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายที่คนส่วนใหญ่จะเดินออกมาแล้วพูดว่าดูไม่รู้เรื่องบ้าง หรือทำไมหนังทำออกมาธรรมดาจนน่าเบื่อ
ลองมาฟังผมดูว่าผมตีความหนังเรื่องนี้อย่างไรบ้าง ทั้งนี้ คงต้องออกตัวไว้ก่อนว่าเป็นความรู้สึกนึกคิดของผมเอง ผมไม่ทราบว่าผู้กำกับต้องการให้คนดูเข้าใจหนังอย่างที่ผมเข้าใจหรือไม่ หรือบางทีผมอาจจะตีความเลยเถิดเกินไปก็มิอาจทราบได้ แต่อย่างไรเสีย
นี่ก็เป็นสิ่งที่ผมคิดหลังจากได้ดูหนังเรื่องนี้แล้ว ผมเคยคุยกับเพื่อนที่ดูหนังเรื่องนี้ว่าผมคิดอย่างนี้ เขาถามผมว่าเขาดูกันลึกขนาดนี้เลยหรือ ผมเองคิดว่าถ้าดูแล้วไม่ตีความ ไม่คิดต่อ มันก็ไม่สนุกไม่มีความหมาย เพราะหนังแบบนี้ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นอย่างที่ดูเอามันอย่างเดียวแน่นอน