รีวิว Mulan
ย้อนกลับไปปี 1998 ดิสนีย์ได้พยายามเจาะตลาดเอเซียด้วยแอนิเมชันที่หยิบตำนานวีรสตรีของจีนอย่าง ฮัวมู่หลาน มาดัดแปลงจัดแต่งมันภายใต้รูปแบบดิสนีย์นิยมที่มาเต็มทั้งสัตว์พูดได้ มุกตลกแบบการ์ตูนและความเวียร์ดถึงขั้นมีมังกรที่รูปร่างเหมือนกิ้งก่าพูดได้มาคอยเป็นผู้ช่วยของมู่หลาน ซึ่งแน่นอนล่ะว่ามันก็สร้างความไม่พอใจกับคนจีนจนล้มเหลวด้านรายได้ตอนออกฉาย
เมื่อองค์จักรพรรดิ์แห่งประเทศจีนออกพระราชโองการว่าบุรุษหนึ่งคนต่อหนึ่งครอบครัวจะต้องเข้าร่วมกองทัพเพื่อป้องกันประเทศจากการรุกรานของผู้บุกรุกทางเหนือ “ฮัว มู่หลาน” ลูกสาวคนโตของนักรบผู้ทรงเกียรติ ต้องก้าวมารับหน้าที่แทนพ่อผู้เจ็บป่วยของเธอ
ด้วยการปลอมตัวเป็นชายหนุ่มที่ชื่อ “ฮัว จุน” เธอถูกทดสอบในทุกย่างก้าวและต้องรวบรวมความเข้มแข็งภายในตัวของเธอและน้อมรับศักยภาพที่แท้จริงของเธอ มันคือมหากาพย์การผจญภัยที่จะเปลี่ยนเธอสู่นักรบผู้ทรงเกียรติและเป็นที่ยอมรับนับถือจากคนในชาติและพ่อที่ภูมิใจ
ภาพยนตร์อเมริกัน-จีน แนวสงคราม-ดราม่า-ย้อนยุค กำกับโดย นิกี คาโร ผู้เขียนบท คือ เอลิซาเบธ มาร์ทิน, ลอเรน ไฮเนก, กับริก จัฟฟา และอะแมนดา ซิลเวอร์ และผู้อำนวยการผลิต คือ วอลต์ดิสนีย์พิกเชอส์ เป็นการนำตำนานจีนเรื่องฮวา มู่หลาน (Ballad of Mulan ลำนำมู่หลาน) มาดัดแปลงใหม่ต่างจากเวอร์ชั่นอนิเมชั่นปี พ.ศ. 2541
โดยซื่อตรงกับต้นฉบับของตำนานให้มากที่สุด นำแสดงโดย หลิว อี้เฟย์ เป็น มู่หลาน นักแสดงสมทบ คือ เจิน จื่อตัน (ดอนนี่ เยน), หลี่ เจี๋ย, โย่วซง อัน, กง ลี่, และหลี่ เหลียนเจี๋ย (เจ็ท ลี)
มู่หลาน เคยเป็นอนิเมชั่นของวอลต์ ดิสนีย์เมื่อปี พ.ศ.2541 และได้รับกระแสจากทั่วโลกเป็นอย่างดี ว่าด้วยเรื่องราวของหญิงสาวผู้ที่ตัดสินใจเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องบ้านเมืองจากภัยร้าย แต่ดูเหมือนการกลับมาของเวอร์ชั่นไลฟ์แอ็คชั่นจะแตกต่างจากเมื่อก่อน เพราะมันไม่ใช่ภาพยนตร์มิวสิคเคิลเหมือนที่ดิสนีย์เคยทำ
แต่เป็นการเล่าเรื่องแบบภาพยนตร์อย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับปรับเปลี่ยนบทให้มีความถูกต้องตามวัฒนธรรมของประเทศจีนซึ่งเคยได้วิจารณ์อนิเมชั่นไว้ถึงความผิดเพี้ยน และขบขันจนเกินจะยอมรับ ดิสนีย์ที่ต้องการให้ตลาดใหญ่อย่างจีนยอมรับ จึงได้ปรับเปลี่ยนโทนจากการผจญภัยแสนสนุกสนาน
กลายเป็นเดินทางเพื่อค้นหาตัวตนของหญิงสาวคนหนึ่งผ่านสงคราม ซึ่งอาจจะทำให้ใครที่เป็นแฟนอนิเมชั่นอาจจะต้องหน้าบูดไปตาม ๆ กัน
แต่สำหรับตลาดแอนิเมชันโลกโดยเฉพาะเอเซียมันกลับสร้างความนิยมให้กับเด็ก ๆ ในยุคนั้น ลามไปถึงปรากฎการณ์สำคัญคือมันได้กลาย “การ์ตูนตัวแม่” สำหรับบรรดากะเทยด้วยเพลง Reflection ที่ส่งเหลือเกินกับเนื้อหาการปิดบังตัวตน และพลอยส่งให้ชื่อของคริสตินา อากีเลราดังเป็นพลุแตกในฐานะคนร้องเพลงนี้ (และแม่ของเหล่ากะเทย) และสำหรับผมเองความทรงจำเดียวที่มีต่อ MULAN เวอร์ชันนั้นก็แค่เพลงนี้นี่แหละครับ 555
แต่กระนั้นในปี 2020 นี้ ดิสนีย์คงตระหนักได้จากการทดลองเอาของเก่ามาหากิน เอ้ย ! ดัดแปลงแอนิเมชันให้กลายเป๋็นหนังคนแสดงหรือเรียกหรู ๆ ว่าไลฟ์แอ็กชัน (Live Action) ทั้ง The Jungle Book, Aladdin และ The Lion King โกยเงินเข้ากระเป๋าได้แบบไม่ต้องคิดเยอะเลยว่าแอนิเมชันอย่าง MULAN เอง
ก็ไม่ยากนี่หว่าที่จะเอามาทำเป็นหนังคนแสดงเรื่องต่อไปแต่อนิจจาตัวหนังก็ดันสร้างประวัติศาสตร์ในตัวมันเองแบบไม่ตั้งใจเสียด้วย ทั้งหลิวอี้เฟยที่ออกมาโพสต์สนับสนุนให้ตำรวจใช้ความรุนแรงกับผู้ประท้วงในฮ่องกงจนเกิดกระแสแบนหนังในประเทศต่าง ๆ และการตัดสินใจของดิสนีย์ที่เอาหนังลงสตรีมมิงแทนการออกฉายที่อเมริกา
มู่หลาน โชคไม่เข้าข้างดิสนีย์เท่าไหร่ เพราะปีแห่งวิบากกรรมโควิดที่แน่นอนว่าหนังจะต้องทำเงินไม่คุ้มทุนแน่ หนังจึงถูกขายส่งไปยัง Disney+ บริการสตรีมมิ่งของเครือดิสนีย์ในราคากว่า 800 บาท ทำให้ไทยเราโชคดีที่วอลต์ ดิสนีย์ไทยได้จัดเต็มกับจอภาพยนตร์
พร้อมทั้งคว้านักแสดงสาวไทยขวัญใจใครหลาย ๆ คนอย่าง ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก เพื่อมาให้เสียงพากย์ของมู่หลานด้วย ซึ่งแน่นอนว่าวงการพากย์ไทยนั้นมีดาราที่พากย์ทั้งดีและไม่ดี แต่ใบเฟิร์นต้องผ่านการทดสอบอย่างหนักหนาต่างจากตอนแสดงเป็นนิรา ในละครใบไม้ที่ปลิดปลิวอย่างแน่นอน
รีวิว Mulan
เนื้อเรื่อง
ฮวา มู่หลาน บุตรสาวของฮวา โจ นักรบเลื่องชื่อตระกูลฮวา ผู้เปี่ยมพรสวรรค์และแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นในหมู่บ้าน จนกลายเป็นตัวประหลาดสำหรับสายตาผู้คน ทว่า จักรพรรดิถังไท่จงรับสั่งให้เกณฑ์บุรุษครอบครัวละหนึ่งคนไปเข้าทัพหลวงเพื่อป้องกันผู้รุกรานจากทางเหนือ
โดยหัวใจที่กล้าแกร่งและเสียสละจึงตัดสินใจสวมรอยเข้ากองทัพชายเปลี่ยนชื่อปลอมตัวเป็น ฮวา จิ้น ท่ามกลางมิตรสหายชายชาติทหาร และชายหนุ่มผู้ถูกชะตากับเขาอย่าง เฉิน หงฮุย มู่หลานต้องตัดสินใจว่าจะสู้กับกองทัพในฐานะฮวา จิ้น หรือจะต่อสู้ในฐานะตัวของเธอเอง เมื่อศัตรูที่แฝงด้วยความชั่วร้ายได้รุกรานสู่ชีวิตผู้คนในแผ่นดินจีนอย่างน่าหวาดกลัว
มู่หลานในฉบับภาพยนตร์มีความแตกต่างในแบบที่ต้นฉบับไม่เคยมีมาก่อน เราจะเข้าใจอะไรหลาย ๆ อย่างที่เวอร์ชั่นอนิเมชั่นไม่ได้เล่า หนำซ้ำการที่ไม่มีเพลงร้องแบบภาพยนตร์ไลฟ์แอ็คชั่นเรื่องอื่น ๆ ไม่ได้เป็นจุดด้อยของเรื่องแต่อย่างใด เพราะการเล่าเรื่องยังคงรักษาแก่นหลักได้ครบ โดยเปลี่ยนให้มีความสมจริงในทุกช่วงเวลาของเรื่อง
ไม่มีตลกโปกฮาผิดที่ผิดทาง อาจเพราะหนังตั้งใจจะทำตัวเองให้ซีเรียส เราจึงพบว่าคาร์แรกเตอร์ตัวละครทุกตัวในเรื่องแทบไม่มีมุมขบขันเลย เป็นการสมมติว่าถ้ามู่หลานอยู่บนโลกแห่งความจริงจะเป็นอย่างไร ซึ่งผู้กำกับทำได้สำเร็จในด้านนี้ เพราะมันไม่มีความดิสนีย์ ดูเหมือนหนังจีนที่ฉายโรงมากกว่า
ความสมเหตุสมผลมีมากกว่าเวอร์ชั่นต้นฉบับ และความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องก็ตรึงติดแน่นจนรู้สึกเครียดตามเรื่องไปเลย อาจเพราะมุกตลกมีแค่ไม่กี่ฉาก ซึ่งจะเป็นจังหวะของหนังมากกว่าที่จะเล่นพร่ำเพรื่อ ส่วนการเล่าเรื่อง ยังมีความแฟนตาซี แต่ไม่ได้แบบปล่อยพลังอะไรมากมาย แต่ดูก็คงรู้ว่าตัวละครไม่ใช่คนธรรมดาแน่ ๆ ถือว่าทีมค้นคว้าทำการบ้านมาดี และบอกได้เลยว่านี่เป็นหนังดิสนีย์ที่แม้จะเรตทั่วไป แต่ก็มีประเด็นด้านสงครามที่โหดร้ายใช่ย่อย โชคดีที่หนังไม่ได้เน้นตรงนี้มาก ไม่งั้นคงหดหู่จริง ๆ
ความรู้สึกหลังดู
หนังขับเน้นจุดยืนของตัวละครหลักได้จากการกระทำอย่างชัดเจน ทุกการกระทำที่ตัวละครกระทำแสดงให้เห็นถึงความพยายามที่จะเข้มแข็ง และอยู่รอดท่ามกลางความยากลำบากที่ชี้เป็นชี้ตายของตัวละคร โดยเฉพาะการที่เพศหญิงต้องถูกกดให้อยู่ในประเพณีอันเก่าแก่ตามประสาลูกคนจีนที่มีลูกชายเป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูล เพราะได้ทำสงครามปกป้องบ้านเมือง ส่วนผู้หญิงควรจะออกเรือนมีคู่ครองที่ดี สืบสกุล ซึ่งผมมองว่า ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นนักรบได้ ไม่ใช่แค่การถูกกำหนดจากสังคม
แต่มาจากสิ่งที่คน ๆ นั้นได้กระทำออกมา บางทีผู้หญิงอย่างมู่หลานก็กล้าแกร่งกว่าผู้ชายอีกนะครับ นอกจากนี้ยังพูดถึงคุณธรรมเรื่องครอบครัวและมิตรภาพ เรื่องปลอมตัวเป็นทหารที่แม้มันจะเป็นเรื่องที่ผิดแปลกจากยุคนั้น แต่ผลตอบแทนและการกระทำมันเกินกว่าที่ธรรมเนียมเก่าจะฉุดรั้งมันเอาไว้ให้ต้องอยู่กับที่ ความภักดี กล้าหาญ ซื่อสัตย์ กตัญญู คือสิ่งที่ทุกคนควรมี แต่มีในแบบตัวเอง ไม่จำเป็นต้องทำตามใคร ทำในสิ่งที่ถูกต้อง แค่นี้ก็เป็นคนที่ดีต่อสังคมได้แล้วล่ะครับ
งานภาพของเรื่องนี้มีความสวยงามและไม่เน้นสีสันฉูดฉาด แต่ใช้สีบอกอารมณ์ตัวละครหรือสถานการณ์ในขนาดนั้น เช่น ถ้าสดใสก็จะเป็นสีเขียวและส้ม พอเศร้าก็จะเป็นสีแดง มีมุมกว้างหลายฉากที่สวยกว่าหนังดิสนีย์ทั่วไป
แต่สิ่งที่ขัดตาคือ ซีจีบางจุดลอยอย่างไม่น่าเชื่อ คือมันไม่เป็นหนึ่งเดียวกับนักแสดง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาหลัก แค่มันขัดตาจริง ๆ ในขณะที่เสียงเพลงนั้นมีความกระหึ่มก้องโลก แถมหยิบนำเพลงของอนิเมชั่นมาบรรเลงในฉบับออร์เครสตร้าแทนการขับร้อง
ซึ่งนี่เป็นจุดที่ทำให้หนังดูเป็นสงครามที่ชี้เป็นชี้ตายตัวละคร แต่เพลงประกอบตอนท้ายเครดิตยังมีคริสตินา อากีเลรา เจ้าของเสียงร้องของเวอร์ชั่นอนิเมชั่นต้นฉบับ มาขับร้องเพลงประกอบอย่าง Loyal Brave True, Reflection อยู่เหมือนเดิม เพราะงั้นถ้ายังไม่อิ่มกับหนังอยู่รอฟังเพลงไปก่อนก็ไม่ได้เสียหายอะไร
และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คืองานดนตรีประกอบโดย แฮรี เกร็กสัน วิลเลียมส์ ที่ใช้การตีความจากหนังมาทำเพลงได้อย่างยอดเยี่ยม น่าจะเป็นหนึ่งในสกอร์ที่ดีที่สุดของปีนี้ได้เลย และโดยเฉพาะโจทย์นึงที่แฟน ๆ ของ MULAN คิดว่าพลาดไม่ได้อย่างการตีความเพลง Reflection ให้ออกมาต่างจากแบบมิวสิคัลเหมือนในแอนิเมชัน ก็บอกเลยว่าสกอร์ของเขาเมื่อปรากฎในจังหวะหนังที่ใช่มันทรงพลังมาก ๆ ครับรับรองไม่ผิดหวัง
โดยรวม
ถ้าชอบมู่หลาน ก็ลองเปิดใจให้เห็นมุมมองใหม่ ๆ ดู มันไม่ได้แย่อย่างที่คิด แต่ถ้าอยากเห็นอะไรใหม่ ๆ อาจจะผิดหวัง เพราะหนังมันยังติดชื่อมู่หลาน แม้จะพยายามฉีก แต่การที่หนังยังวนเวียนอยู่กับความรักชาติ ชาตินิยม เหมือนโฆษณาชวนเชื่อของจีนไปอย่างแนบเนียน ตัวละครอื่นเลยกลายเป็นแค่ส่วนประกอบบาง ๆ
ที่ทำให้มู่หลานโดดเด่นสมชื่อ แบกไปหมดทุกอย่างส่วนตัวผมก็ไม่ได้ชอบมาก งานภาพ งานเสียง ความสมเหตุสมผลและการแสดงไม่มีติดขัด แต่การเล่าเรื่องและประเด็นมันค่อนข้างราบเรียบที่ไม่น่าจะถูกใจเด็กที่ตามการ์ตูน ก็รู้สึกว่าหนังใช้ความจีนเยอะมาก เยอะจนอึดอัด ปรัชญาเอย ความกตัญญูเอย มันเยอะเฝือจนทำให้หนังที่ควรจะดีเลยไปได้ไม่ดีสุด
สรุป
ทิ้งท้ายรีวิวคงไม่มีอะไรมากนอกจากรู้สึกว่าเมืองไทยโชคดีมากที่ดิสนีย์ประเทศไทยตัดสินใจเอาหนังเข้าฉายโรงเพราะตัวหนังถูกออกแบบมาให้ดูในโรงจริง ๆ ที่สำคัญคือหนังเองก็รวมดาราเอเซียคนสำคัญไว้นอกจากหลิวอี้เฟยแล้วก็ยัง เจิ้งจือตัน หรือ ดอนนี่ เยน ที่ดังจากหนังปรมาจารย์ยิป มัน หรือจะเป็น กงลี่
สาวสวยสองพันปีในบทแม่มดที่ปังมากฟาดมากและที่โดนใจเด็กยุค 90s มากแต่อาจต้องขยี้ตาหน่อยคือการปรากฎตัวของ หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ เจ็ต ลี ในบทฮ่องเต้ที่หน้าตาดูชราไปเยอะแต่ยังคงรัศมีดาราใหญ่อยู่ สรุปง่าย ๆ คือ MULAN ไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ ครับ