รีวิว ESCAPE ROOM 2
เรื่องย่อ: ภาคต่อหลังจากที่ ซูอี้ รอดชีวิตจากเกมห้องปริศนาแล้วค้นพบว่ามี องค์กรมินอส อยู่เบื้องหลังเกมทั้งหมด ทำให้เธอตามสืบด้วยตนเองเพื่อตีแผ่ความจริง ทว่าสิ่งที่เธอไม่รู้คือเธอยังคงอยู่ในกำมือและเกมอำมหิตของมินอสมาเสมอ เมื่อต้องกลับมาเล่นเกมโดยแข่งกับผู้ชนะจากเกมรอบอื่น ๆ ครั้งนี้จึงน่าลุ้นว่าเธอจะพบความจริงก่อนหรือสูญเสียสิ่งสำคัญไปก่อนกันแน่
‘Escape Room’ (2019) จัดเป็นหนังม้ามืดที่ได้รับความนิยมเกินคาดหมาย เพราะสามารถทำเงินไปได้กว่า 150 ล้านเหรียญ จากทุนสร้างเพียง 9 ล้านเหรียญเท่านั้นเอง ซึ่งน่าจะโดนใจกลุ่มคนที่ชอบหนังเกมเอาชีวิตรอดแบบใช้ไหวพริบปฏิภาณและบางครั้งก็อาศัยดวงเข้าช่วยโดยมีชีวิตของตนเองเป็นเดิมพัน
ซึ่งก็ใช้รูปแบบเกมปริศนาหาทางออกจากห้องชื่อที่เป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยแฟลชเกมบนเว็บจนมาถึงเกมบนมือถือ และหลายคนน่าจะเคยเล่นอย่าง ‘White Room’ หรือ ‘The Room’ เป็นต้น แต่เพิ่มความตื่นเต้นด้วยความโหดของเกมที่เอาถึงตายแบบสยดสยอง
และใช้ปมในอดีตของแต่ละผู้เล่นมาสร้างสรรค์เกมจนได้กลิ่นอายน้อง ๆ แฟรนไชส์หนังโหดอย่าง ‘Saw’ อยู่ไม่น้อย เรียกว่าแค่แนวคิดตั้งต้นของหนังก็น่าสนใจน่าดูแล้ว
ในภาค 2 นี้ยังคงเป็นการกลับมาสานต่อของผู้กำกับ อดัม โรบิเทล (Adam Robitel) ที่มีแฟนติดตามพอสมควรตั้งแต่ทำหนังสยองอย่าง ‘The Taking of Deborah Logan’ (2014) และ ‘Insidious: The Last Key’ (2018) จนพอมาทำหนังแนวเอาชีวิตรอดปริศนาอย่าง ‘Escape Room’
ก็เหมือนว่าโรบิเทลเจอจุดลงตัวในหนังตัวเอง และด้วยจังหวะเวลาที่ออกฉายก็เหมาะเจาะเพราะตลาดกำลังขาดหนังแนวนี้ที่เว้นช่วงหายไปมานานพอควร ทำให้ตัวหนังกลายเป็นม้ามืดอย่างที่ได้กล่าวมา และทิ้งลายว่าจะมีภาคต่อไว้รอกันเลยทีเดียว
ความยากของหนังภาคต่อ โดยเฉพาะในแนวเกมเอาชีวิตรอดนี้ก็คือการขยับขยายจักรวาลของตัวหนังเองให้กว้างขึ้น ซึ่งในเรื่องนี้ก็ได้เปิดผู้บงการของเกมตั้งแต่แรกเลยทีเดียว โดยทิ้งคำถามให้คนค้นหาต่อไปว่าเขา หรือพวกเขาสร้างเกมพวกนี้ไปทำไมกัน
แถมยังสร้างบุคลิกของบ้านหรูที่มีความสัมพันธ์พ่อแม่ลูกอันผิดเพี้ยน ให้ผู้ชมได้เอาใจช่วยตัวละครเหยื่อซึ่งเป็นลูกสาวของบ้านอย่าง แคลร์ (รับบทโดย อิซาเบล เฟอร์แมน (Isabelle Fuhrman) จาก ‘Orphan’) ที่ต้องเอาตัวรอดจากพ่อผู้ชั่วร้าย
แบบเล่าสถานการณ์เดินควบคู่ไปกับทางฝั่งตัวเอกที่กำลังเล่นเกมด้วยนั่นเอง ทำให้การเล่าเรื่องแปลกตาจากภาคแรกเป็รสชาติใหม่และคาดเดาทางได้ยากขึ้นด้วย
มันจะไม่ใช่เพียงแค่ตัวเอกเอาชนะเกมใหม่สำเร็จ ได้ไปพบผู้บงการ ได้รู้เหตุผลเบื้องหลัง นำมาสู่การแก้แค้นแล้วจบไปอย่างเรื่องอื่น ๆ แล้วก็ไม่รู้จะรอภาคต่อไปอีกทำไม
แต่อย่างไรเสียต้องยอมรับว่าจุดแข็งของหนังที่คนคาดหวังจะมาชมก็ยังเป็นฝั่งของตัวเอกอย่าง ซูอี้ (รับบทโดย เทย์เลอร์ รัสเซลล์ (Taylor Russell) จากซีรีส์ ‘Lost in Space’) ที่ยังกลับมาร่วมมือกับผู้รอดชีวิตอีกคนอย่าง เบน (รับบทโดย โลแกน มิลเลอร์ (Logan Miller) จากซีรีส์ ‘The Walking Dead’)
เพื่อเปิดโปงองค์กรมินอส แต่ดันโดนกับดักลวงให้กลับมาเล่นเกมอีกครั้งจนได้ และเพื่อเพิ่มความเขี้ยวของเกมให้เข้มข้นขึ้น นอกจากการฆ่าผู้เล่นที่พลาดท่าแพ้ในแต่ละห้องที่ดูโหดขึ้นแล้ว ยังเป็นเกมรวมผู้ชนะจากเกมรอบอื่น ๆ มาเจอกันเองเสียอีก ทำให้ผู้ชมรู้สึกตื่นเต้นตามไปด้วยว่านางเอกของเราจะเอาตัวรอดได้สำเร็จอีกหรือไม่
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับหนังภาคแรกเสน่ห์ของตัวเกมที่เล่น ส่วนตัวรู้สึกว่ามันน่าสนใจน้อยลง อย่างหนึ่งคือปริศนาข้อสงสัยที่คลุมเกมอยู่ว่าผู้บงการคือใครและทำไปเพื่ออะไรมันกระจ่างขึ้นแล้วระดับหนึ่ง และอีกประการคือความสร้างสรรค์ของตัวเกมที่แม้จะมีการเล่นอะไรที่โหดขึ้นอย่างไฟฟ้าหรือน้ำกรด
(แต่ก็ยังไม่โหดสะใจเท่า Saw นะ) แต่กติกาการออกแบบเกมกลับไม่ค่อยตื่นตาตื่นใจเท่าเดิมแล้ว บางด่านก็แทบเอาไอเดียเดิมจากภาคแรกมาใช้เลยด้วยเพียงเปลี่ยนจากฉากหิมะเป็นชายหาด เป็นต้น ถ้าจะติงอะไรก็น่าจะเป็นเรื่องนี้ที่ทำได้ดีแต่ยังไม่พอสำหรับความคาดหวังที่มากขึ้นต่อภาคที่ 2
รีวิว ESCAPE ROOM 2
Escape Room เป็นหนึ่งในหนังสยองขวัญเชิงจิตวิทยาที่ได้รับการกล่าวถึงกันเป็นอย่างมากในภาคแรก ด้วยรูปแบบของการออกแบบห้องเกมสุดสยองที่ผู้เล่นจะต้องขบคิดปริศนาให้แตก เพื่อเอาตัวเองให้รอดออกจากห้องเชือดภายในระยะเวลาที่กำหนด
แน่นอนว่าเมื่อหนังภาคแรกประสบความสำเร็จก็มักที่จะมีการสร้างภาคสองขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่าหนังสยองขวัญ Escape Room: Tournament of Champions กักห้อง เกมโหด 2 ส่วนในภาคนี้จะมีความโหดเหี้ยมและรูปแบบเกมเอาตัวรอดแบบสุดว้าว! ให้ได้เห็นกันมากสักแค่ไหน!? ลองมาติดตามอ่านจากรีวิวแบบไม่ต้องกลัวการสปอยจากบทความชิ้นนี้กันได้เลย
ประเภท : สยองขวัญ / เอาชีวิตรอด / จิตวิทยา / ฆาตกร
ปีที่ฉาย : 2021
เวลา : 1.28 ชั่วโมง
IMDb: 5.9 /10
อย่างไรก็ตามหนังก็มีโจทย์สำคัญที่ต้องทำ นั่นคือการขยายจักรวาลของหนังให้สามารถไปต่อในภาคถัดไป และต้องทิ้งทุ่นระเบิดได้น่าสนใจพอที่จะประสบความสำเร็จได้ทำภาคที่ 3 ให้เป็นไตรภาค ซึ่งเมื่อดูแล้วส่วนตัวถือว่าเขาทำจุดนี้สำเร็จเพราะมันขยายเรื่องราวได้ชัดเจน
เอาตัวละครใหม่มาใช้งานต่อกับตัวเก่าที่ผู้ชมรักแล้วได้ดี ที่สำคัญเขาบิวต์ความรู้สึกอยากรู้เรื่องราวต่อไปของผู้ชมหลังจากดูภาคนี้จบได้ดีมาก ๆ ถ้าวัดจากโจทย์นี้เพียว ๆ ผู้กำกับกับทีมงานทำสำเร็จอย่างงดงามมาก ๆ ครับ หวังว่าจะได้รับชมหนังภาคต่อไปไม่นานเกินรอ
ความรู้สึกหลังดู
ในส่วนของจุดด้อย พูดกันตามตรงว่าความสัมพันธ์ของตัวละครสามารถคาดเดาได้ง่ายมาก บทสนทนาจำนวนมากเต็มไปด้วยเรื่องไร้สาระและอัตตาของตัวละครที่ทำให้รู้สึกดูไปหงุดหงิดพอสมควร นอกจากนี้ตัวละครยังขาดการพัฒนาอย่างสิ้นเชิง
เนื้อหาเองก็ถือว่าอ่อนมาก ตัวละครแต่ละคนขาดมิติความลึกในเรื่องของเบื้องหลัง แน่นอนว่าตัวละครหลักทั้งสองคนพวกเรารู้จักดีจากภาคแรก ทำให้รู้สึกอยากที่จะเอาใจช่วย แต่ผู้เล่นคนอื่นที่มีเวลาอธิบายสิ่งที่ตัวเองเผชิญมาคนละ 5 วินาที มันไม่ได้ช่วยให้รู้จักพวกเขา หรือพฤติกรรมที่แสดงออกมาเลยแม้แต่น้อยและกลายเป็นเพียงแค่ตัวประกอบฉากเท่านั้น
สำหรับผู้เขียน ความสนุกของหนังสยองขวัญ Escape Room: Tournament of Champions กักห้อง เกมโหด 2 เมื่อเทียบกับภาคแรกแล้วค่อนข้างด้อยกว่าเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าในส่วนของกับดักมันดูน่าสยดสยองเหมือนเดิม แต่ในส่วนของการดำเนินเรื่องราว บทสนทนาและดราม่าด้อยลงกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัดให้ความรู้สึกเหมือนกับผู้กำกับรีบเร่งให้หนังจบอย่างไรไม่รู้!?
ถ้าหากถามโดยรวม หนังสยองขวัญ Escape Room: Tournament of Champions กักห้อง เกมโหด 2 ก็ยังถือว่าเป็นหนังที่เอาไว้ดูแก้เบื่อได้ แต่อย่าคาดหวังมากและอย่าเอาไปเปรียบเทียบกับภาคแรก ไม่อย่างนั้นอาจรู้สึกผิดหวังอย่างไม่ทันรู้ตัวแล้วจะหาว่าไม่เตือน…!!!
น่าเสียดายถึงหนังจะใส่ตัวละครใหม่เข้ามาถึง 4 ตัว แต่ก็ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความคาดหมายนักว่า “ใคร” จะกลายเป็นผู้รอดชีวิตไปถึงท้ายเรื่องได้บ้าง ดูโหงวเฮ้งและวิธีการให้น้ำหนักกับตัวละครแล้วก็คาดเดาไม่ได้ยากเลย จนจริงๆเราก็แอบสงสัยในบางตัวละครไม่ได้อีกเช่นกันว่า บรรดาทั้งสี่คนนี้เคยผ่านการเป็นแชมป์ห้องปิดตายกันมาจริงๆเหรอ ทำไมบางทีระบบวิธีคิดของตัวละครก็ดูไม่ค่อยน่าจะรอดชีวิตมาได้เท่าไหร่เลย
สิ่งที่น่าเสียดายอีกประการคือในเมื่อ Escape Room เป็น “ภาคต่อ” หนังก็ควรจะเผยข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับองค์กรที่อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมเหล่านี้ให้มากขึ้น แต่ในเวอร์ชั่นโรงกลับเล่าเรื่องราวแต่การหนีตายของตัวละครกันเพียงอย่างเดียว (ซึ่งดูเหมือนว่าตัวผู้กำกับอย่างอดัม โรบิเทลอยากจะเล่าเรื่องส่วนนี้เช่นกัน ทำให้เวอร์ชั่นที่ออกฉายทางดิจิทัลดาวน์โหลดในต่างประเทศมีเวอร์ชั่น Extended Cut มีการเล่าฉากที่ไม่มีในเวอร์ชั่นฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย)
คะแนน IMDb นักวิจารณ์ได้ 48 เท่ากันกับภาคที่แล้วและสมาชิกได้ 5.8 ลดลงจากภาคที่แล้วที่ได้ 6.4 ส่วนในเว็บมะเขือได้จากนักวิจารณ์ 50% และคนดู 76% สำหรับผู้โพสท์ให้ 7 เท่ากันทั้งสองภาค รายได้ภาคที่แล้วก็ดีกว่ามากครับ(เป็นเหตุให้สร้างภาค 2)
ภาคแรกได้ประมาณ 156 ล้านจากทุนสร้าง 9 ล้านเท่านั้น กำกับทั้งสองภาคโดย อดัม โรบิเทล จาก Insidious: The Last Key นำแสดงทั้งสองภาคโดย เทย์เลอร์ รัสเซล และ โลแกน มิลเลอร์ ส่วนผู้ร่วมงานและตัวประกอบอื่นๆ มีซ้ำกันบ้าง
เนื้อหาของภาคนี้ต่อจากภาคที่แล้วในปี 2019 ต่างตรงที่ตัวเอกสองคนรนหาที่เอง ต้องการกลับเข้าเกมเพื่อทำลายองค์กรในขณะที่ทางองค์กรก็พาผู้เล่นที่เคยชนะกลับเข้าสู่เกมด้วยเช่นกัน มีห้องมหาสนุกต่างๆ ประมาณ 5 ห้อง(ผิดพลาดขออภัยจริงๆ ไม่ได้นับ
ไม่รู้จะเริ่มนับและหยุดนับที่ตรงไหน) หลังจากเข้าสู่เกมความสนุกก็เริ่มต้นไปจนจบ ตามรูปด้านบนห้องมหาสนุกมีท้องถนน รถไฟฟ้า (ไฟฟ้าจริงๆ) ธนาคาร ชายหาด ลุ้นไปกับการเอาตัวรอดโดยการไขปริศนาที่มี สาระความดีหามีไม่ เอาบันเทิงได้ล้วนๆ
มีทั้งตื่นเต้นจริงและตลกกับบางฉากที่ไม่เข้าท่า มีแปลไม่เข้าท่าด้วย แปลบองโจวี่ เป็นบอดี้สแลมนี้เราโกรธมาก ส่วนความรู้สึกและรายละเอียดอื่นๆ นอกเหนือจากที่บรรยายในโพสท์นี้โปรดชมคลิปต่อไปนี้ครับ
ในแง่ของความสนุกตื่นเต้น Escape Room: Tournament of Champions ยังทำได้สนุกไม่แพ้กับหนังในภาคแรก
โดยเฉพาะในส่วนห้องปิดตายต่างๆที่ยังเอื้อให้ผู้ชมลุ้นไปกับวิธีเอาตัวรอดจากแต่ละห้อง แต่ในส่วนที่ค่อนข้างด้อยมากคือวิธีการพัฒนาตัวละครสมทบที่นอกจากจะดูใส่มาเพื่อแค่เป็นตัวประกอบของเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องทำให้คนดูแคร์แล้ว ยังรู้สึกว่าพวกเขาแทบไม่มีประโยชน์ในการจดจำเลยด้วยซ้ำไป
รวมๆแล้ว Escape Room: Tournament of Champions ยังถือเป็นภาคต่อที่ทำให้เรายังอยากจะติดตามเรื่องราวในภาคต่อไปอยู่ดีครับ