รีวิว Despicable Me 2010
บ้านหลังสีดำทะมึนที่มีสนามหญ้าสุดเหี่ยวเฉา แต่ที่บรรดาเพื่อนบ้านซึ่งอาศัยอยู่ในย่านเดียวกันไม่เคยล่วงรู้ ภายใต้บ้านหลังนี้ก็คือที่ซ่อนลับที่มีขนาดกว้างใหญ่ เราได้จะพบกับกรู พร้อมด้วยลูกสมุนจำนวนหนึ่ง กำลังวางแผนการปล้นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก กรู กำลังจะขโมย
พระจันทร์ กรู ที่ชื่นชอบในทุกสิ่งที่ชั่วร้าย มีอาวุธพร้อมพรั่งทั้งลำแสงที่ทำให้ตัวหด ลำแสงทำให้ตัวแข็ง แถมยังมียานพาหนะทุกรูปแบบทั้งลุยบนบกและบินไปในอากาศ เขาจัดการกำราบทุกคนที่กล้ามายืนขวางทาง จนถึงวันที่เขาได้เผชิญหน้ากับความมุ่งมั่นตั้งใจ ของเด็กหญิงลูกกำพร้าสามคนมาร์โก้, อีดิธ และแอ็กเนส ที่ได้พบเขา และมองเห็นบางสิ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน นั่นก็คือ ความเป็นพ่อ ดูหนัง
เมื่อจอมวางแผน ได้ทิ้งชีวิตอาชญากรไว้เบื้องหลัง เพื่อเลี้ยงดูมาร์โก้, อีดิธ และแอ็กเนส กรูและพวกมินเนียนก็เลยมีเวลาว่าง แต่ขณะที่เขาเริ่มจะปรับตัวในฐานะแฟมิลี่แมนในย่านชนบท องค์กรลับสุดยอดที่มุ่งมั่นกับการสู้กับปีศาจร้ายทั่วโลกก็ได้เดินเข้ามา
ตอนนี้เป็นหน้าที่ของกรูและลูซี่ ไวลด์ คู่หูใหม่ของเขา ที่จะค้นหาว่าใครกันแน่ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลังอาชญากรรมที่น่าตื่นตาตื่นใจเพื่อจับตัวเขามาลงโทษให้ได้ เพราะคงต้องใช้อดีตสุดยอดวายร้ายของโลกเท่านั้นแหละถึงจะจับคนที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะมาแทนที่เขาเราว่าเปิดเรื่องมามันไม่ค่อย
ได้ปูเท่าไหร่นะ คือต้องไปตามเก็บ Minions แหละถึงจะเข้าใจเรื่องมากขึ้น เพราะเปิดขึ้นมาเขาก็วางแผนกันเรียบร้อยแล้ว ความสนุกของเรื่องนี้คือความพยายามของกรูนี่แหละ555ที่เราแปลกใจคือเราเห็นชื่อ Hans Zimmer composer สุดรักของเราในเครดิตด้วย ถึงว่าเรารู้สึกเอนจอยกับเพลง
ในเรื่องนี้มากๆ555 เพลงดีแล้วหนังดูสดใสดูสนุกขึ้นจริงๆแหละ555 ยิ่งเพลงของพวกมินเนี่ยนไรงี้ ก็สรุปแล้วเรื่องนี้ภาพสวย เพลงเพราะ บทย่อยง่ายแต่ไม่กะโหลกกะลา ดูได้เพลินๆสนุกๆ เป็นหนังครอบครัวที่ดูด้วยกันแล้วน่าจะเอนจอยอ่ะ เพราะมันก็ไม่ได้เนื้อหาเด็กมากๆถึงขนาดที่ผู้ใหญ่จะดูไม่ได้
ภาคต้นกำเนิดของวายร้ายกรูและเหล่าสมุนมินเนี่ยนที่ตัวหลังโด่งดังจนต้องแยกมีหนังเป็นของตัวเอง สำหรับภาคแรกนี้ ต้องบอกว่าตัวมินเนี่ยนยังไม่ขโมยซีน แย่งซีนอะไรมากเหมือนกับภาคแรก ภาคแรกของมิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัดยังคงเน้นไปที่การเล่าเรื่องราว การล้อเลียนเอกลักษณ์ของ
หนังสายลับ ก็ออกมาในรูปแบบฮาสุดขีด มุกตลกหลายๆ ฉากอยู่ในประเภทที่ทำให้ผู้ชมวัยเด็กขำกลิ้งได้ง่ายๆ แม้แต่คนดูผู้ใหญ่เองก็ฮาได้เรื่อยๆ เพราะเนื้อเรื่องของหนังเองมีซับพล็อตเรื่องราวแบบผู้ใหญ่ที่เข้าใจง่าย ไม่เพียงเป็นการเล่าเรื่องที่เน้นให้วัยเด็กดูได้เท่านั้น เราเองก็สนุกไปกับหนังได้กับมุกตลกที่ชวนหัว เนื้อเรื่องโดดเด่นไม่น่าเบื่อและคาแรคเตอร์ของตัวละครที่น่ารักน่าชัง
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ภาคแรกนี้สมุนตัวเหลืองมินเนี่ยน ยังไม่โดดเด่นมาก แต่ทุกครั้งที่ปรากฏก็ทำให้เราสนใจได้ตลอด มีความน่ารักและน่ากวน (แม้จะพูดฟังแทบไม่รู้เรื่อง ฮา!) ซึ่งหนังเรื่องนี้ผมว่าทีมงานสร้าง ทำได้ดีมากเรื่องการวางคาแรคเตอร์หรือออกแบบตัวละคร แต่ละตัวน่าสนใจดึงดูด ทั้งกรูที่หัวล้าน จมูกแหลม มินเนี่ยน ตัวเหลืองตาเดียว/สองตา
เป็นแอนิเมชั่นอีกเรื่องที่ดูสนุกในแบบเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูฮา ภาคแรกนี่ผมว่าเป็นหนังที่ดีมากเลย เนื้อเรื่องเล่าได้น่าติดตามไม่หละหลวมเกินไปแม้จะมาอยู่ในรูปแบบแอนิเมชั่น ความฮามีตลอด ภาพสีสันสวยงาม ซึ่งนั่นต้องยกความดีให้กับค่าย illumination entertainment ที่โดดเด่นไม่แพ้ค่ายรุ่นพี่อย่าง Pixas, Disney, BlueSky หรือ Dreamworks เลย
รีวิว Despicable Me 2010
หนังแอนิเมชั่นเริ่มกลายเป็นโปรเจ็คทำเงินของทุกค่ายหนัง ไม่เฉพาะแต่ดิสนีย์พิกซาร์อีกต่อไปแล้ว และโปรเจ็คสามมิติเรื่องล่าสุดจากยูนิเวอร์แซลเรื่องนี้ ก็เป็นนิมิตหมายอันดีต่อการแข่งขันในวงการแอนิเมชั่น ให้เติบโตและพัฒนายิ่งๆขึ้นไป สุดท้ายกำไรก็ตกอยู่กับคนดูอย่างเราๆท่านๆนี่ แหละ
แอนิเมชั่นสามมิติเรื่องนี้เล่าถึง กรู (ให้เสียงพากย์กวนๆโดยสตีฟ คาเรลล์) ซึ่งเป็นวายร้ายหมายเลขหนึ่งบนโลกมนุษย์ มีความต้องการจะขโมยดวงจันทร์ เพื่อแสดงอำนาจข่มวายร้ายรุ่นน้อง ที่พยายามจะแย่งตำแหน่งสุดยอดวายร้ายไปจากเขา แต่เรื่องก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อกรูต้องหาอุปกรณ์
ย่อส่วนดวงจันทร์เพื่อนำกลับมายังโลก และยังต้องผจญแกงค์เด็กสุดป่วน ที่เข้ามาจุดประกายการทำความดีให้เกิดขึ้นในชีวิตของเขา ขณะเดียวกันก็ต้องผจญการคุกคามจากวายร้ายคนอื่นอีกด้วย
แอนิเมชั่นยุคหลังกลายเป็นงานที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดีไปหมดแล้ว เพราะนอกจากจะดูสนุก ดูเพลิน ยังแฝงแง่คิดและมุมมองชีวิตดีๆไว้อีกเพียบ เรียกได้ว่างานแอนิเมชั่นแต่ละเรื่อง ไม่ว่าจะค่ายใด เรื่องใด ก็ล้วนแต่มั่นใจในคุณภาพได้แทบทั้งสิ้น เช่นเดียวกันกับ Despicable Me เรื่องนี้ที่เนื้อหา
สนุกสนานครบเครื่อง ทั้งฉากตลกเฮฮาแบบไม่มีพิษมีภัย และฉากดราม่าดีๆที่แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ทางความคิดของตัวละคร ด้วยความที่หนังถูกสร้างเป็นแอนิเมชั่น ทำให้สามารถถ่ายทอดจินตนาการ และสร้างอารมณ์ร่วมให้กับคนดูได้ง่าย ยิ่งประกอบกับบรรดาตัวละครน่ารักๆ และ
ตัวเอกของเรื่องอย่าง กรู ที่มาแปลกแหวกขนบตัวเอกทั่วไป ก็ยิ่งทำให้แอนิเมชั่นเรื่องนี้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นด้วยจุดอ่อนเล็กๆของแอนิเมชั่นเรื่องนี้ อยู่ที่ความต่อเนื่องของบทที่ยังกระโดดไป กระโดดมา และไม่สามารถไล่ระดับความพีคของเรื่องให้มากขึ้นเรื่อยๆได้ รวมทั้งตอนจบที่คาดเดาได้ง่าย
และสนุกน้อยกว่าที่ควรจะเป็น แต่หากไม่คิดอะไรมาก และมองข้ามจุดอ่อนหยุมหยิมยิบย่อยเหล่านี้ไปแล้ว Despicable Me ก็เป็นแอนิเมชั่นดีๆอีกเรื่อง ที่สามารถสร้างรอยยิ้มและความประทับใจให้คนดูทุกเพศ ทุกวัยได้อย่างแน่นอน ดูหนังออนไลน์
ความรู้สึกหลังดู
ได้มีโอกาสไปดูหนังเรื่องนี้มาตั้งเเต่อาทิตย์ที่เเล้ว เเต่เพิ่งได้มีโอกาสมารีวิว (เพราะขี้เกียจด้วยเเหละครับ) เรื่องนี้โดนบังคับ (ทางโรงภาพยนตร์) ให้ดูเเบบ 3D เพราะไม่มีโรงธรรมดาเลยสักนิดเดียว เพราะดูที่ พารากอน ซึ่งก็ไม่เป็นไร เพราะอยากดู 3D เหมือนกัน
Despicable Me หนังอนิเมชั่น เรื่องราวเกี่ยวกับ กู เอ้ย กรู (GRU) วายร้ายสุดโหด ที่ออกเเนวติ๊งต๊อง น่ารัก + ไม่เคยทำงานขโมยอะไรสำเร็จเลยสักครั้ง จนกระทั่งมีวายร้ายคนใหม่นามว่า วิคเตอร์ (VICTOR) ที่มาขโมย พีรามิด ตัดหน้าเขา ทำให้ วิคเตอร์ มีผลงานมากกว่า + ฐานทัพ ของเขา
นั้นยังป้องกันอย่างดี จน กรู นั้นได้เจอกับเด็กน่ารักๆสามคน ที่สามารถเดิน เข้า-ออก ฐานทัพ ได้อย่างสบายใจ ที่มีชื่อว่า มาร์โก้ , อีดิด เเละ เเอ็คเเนส เขาจึงได้ไปรับเด็ก 3 คนนี้มาเป็นลูกบุญธรรม จากบ้านสงเคราะห์ ซึ่งความสัมพันธ์ของ เขา กับ เด็ก 3 คนเริ่มเปลี่ยนเป็นอะไรมากกว่า การชนะ เว็คเตอร์
เรื่องนี้ได้ผู้กำกับหน้าใหม่ ที่เคยทำงานอยู่เบื้องหลังหนังการ์ตูนเช่น Horton Hear A Who เเละ Ice Age 3 อย่าง Pierre Coffin , Chris Renaud ที่ต้องขอชมก่อนเลยว่าทั้ง 2 คนนี้นั้นได้ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้เนื้อเรื่องก็ไม่ฉูดฉาด เท่าไหร่ ออกเเนวเดาทาง + เคยเห็นมาก่อนเเล้ว เเต่ไม่รู้
ทำไมผมกลับชอบมากๆ + ชอบเเนวคิดของไอตัวเหลืองๆ น่ารักๆ ที่ผมว่าคงได้เเรงบันดาลใจมาจาก Toy Story เเน่นอน เเต่อันนี้ทำได้น่ารัก + กวนกว่าเสียอีก เรื่องด้านอนิเมชั่น นั้นถือว่าทำตัวละครออกมาได้ไม่น่ากลัว เเต่ไม่ชอบตรงที่มันมีฉาก Rude Homor (ฉากออกเเนวทะลึ่งไปหน่อย) เเต่นอกเหนือจากนั้นผมอยากบอกว่า มันดีไปหมดเลยหละครับ ส่วนใครคิดจะดูเรื่องนี้อยู่นั้น ผมขอเเนะนำเเละจะขอพูดถึง 3D ซะหน่อยนะครับ
ส่วนในด้านของ 3D นั้น (ซึ่งผมคิดว่าคงไม่มีใครเลือกได้ว่าจะดูธรรมดาได้ไหม) เรื่องนี้ ขอชมว่า เขาได้ทำออกมาอย่างเยี่ยม คือผมชอบตรงที่ว่าเขาทำ 3D เรื่องนี้ออกมาได้มีความลึก เเละใน ขณะเดียว กันนั้น เรื่องนี้ก็ได้ทำลูกเล่น ทะลุจอ ออกมาเป็นระยะด้วย เเถม ยังใส่มุขตลกของหนังมา
ทุก 5 นาที ซึ่งผมไม่คิดว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังเด็กเลยนะ เพราะขนาดผู้ใหญ่อย่างผมดูเเล้วยังสนุกเลยหละครับ (ถึงเเม้ว่า ญาติ ของผมที่ไปดูเหมือนกันนั้น จะไม่ชอบก็ตาม) เเต่ก็ต้องขอติเหมือนกันที่ช่วงเเรก ไม่รู้ผมรู้สึกคนเดียวรึปล่าวนะ ที่ว่าเนื้อเรื่องมันออกเเนว อืดๆ + ไปไหนต่อไหนก็
ไม่รู้ เเต่ช่วงหลังนี้ต้องขอบอกว่า ชอบมากครับ ใส่บทบาทของไอตัวเหลืองๆเข้ามาได้อย่างดีเยี่ยมเลยหละครับเรื่องนี้ได้นักเเสดงตลก ที่เคยผ่านการพากย์มาเเล้วอย่าง Steve Carell ที่เคยพากย์ใน Horton มาในเรื่องนี้ต้องออกสำเนียงเเนว Spain (หรือ ฝรั่งเศส หว่า) อย่างมาก เรื่องนี้อยากบอกว่าเขาพากย์ดี + ชอบมากกว่าใน Horton ซะอีกนะครับ เพราะเรื่องนี้เขาได้เล่นสำเนียงอะไรด้วย
สรุปเเล้วคือ หนังเรื่องนี้เป็นหนังอนิเมชั่น เด็กๆ ที่ผมรู้สึกว่าผู้ใหญ่นั้นก็สามารถสนุกได้ + การออกเเบบการ์ตูนในหนังเรื่องนี้นั้นน่ารัก น่าได้ตุ๊กตามาเป็นของสะสมมากๆ โดยเฉพาะพวกตัวเหลืองๆ ที่เรียกว่า The Minion อะไรเนี่ยเเหละ ซึ่งถ้าคุณจะไปดูผมก็ต้องขอเเนะนำ 3D ด้วย เพราะว่าเขา
ทำออกมาได้ดีจริงๆเเหลครับ อยากให้สนับสนุน 3D เรื่องนี้ดีกว่าไปสนับสนุน 3D ห่วยๆของหนังใหม่ที่จะเข้าอย่าง The Last Airbender ที่ได้มาเเปลงจาก 2D เป็น 3D เหมือน Clash of The Titans สรุปเเล้วคือ ไปดูเถอะครับ