รีวิว Black Crab
ฤดูหนาวเยือกแข็งแสนหฤโหดในโลกยุคล่มสลายเพราะสงคราม ทหาร 6 นายถูกรวบรวมมาทำภารกิจเสี่ยงตายโดยการขนส่งแคปซูลปริศนาที่จะช่วยยุติสงคราม แต่ปัญหาคือพวกเขาต้องเข้าสู่แดนของศัตรูข้ามทะเลที่กลายเป็นแผ่นน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตา
หนังจากเน็ตฟลิกซ์สวีเดนอาจไม่ได้เป็นที่สนใจในบ้านเราบ่อยนัก หรือพูดให้ถูกคือหนังโซนยุโรปที่ไม่ใช่จากประเทศอังกฤษถือว่าเป็นของไม่ถูกโฉลกกับคอหนังบ้านเราเสียส่วนใหญ่ และหนังเรื่องนี้จึงพยายามขายดาราอย่าง นูมิ ราเพซ (Noomi Rapace) ที่โด่งดังจากหนัง ‘The Girl with the Dragon Tattoo’ (2009) ฉบับดั้งเดิมของสวีเดน จนมีโอกาสได้ร่วมงานหนังบล็อกบัสเตอร์ฝั่งฮอลลีวูดอีกมากมายหลังจากนั้น เป็นดาราสวีเดนไม่กี่คนที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างแท้จริง เพื่อทำให้หนังน่าสนใจสำหรับคอหนังทั่วไปมากขึ้น
Black Crab ภาพยนตร์แอ็กชั่นสงครามในโลกหลังหายนะของ Netflix สวีเดน เรื่องราวของทหารหกนายในภารกิจลับที่สามารถตัดสินผลแพ้ชนะสงครามได้เลย โดยต้องขนส่งพัสดุลึกลับข้ามหมู่เกาะที่กลายเป็นน้ำแข็ง นำแสดงโดย นูมิ ราเพซ ความยาว 1 ชั่วโมง 54 นาที มีพากย์ไทย
โดยเรื่องราวของภาพยนตร์เรื่อง Black Crab นั้นเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของโลกที่กำลังถูกทำลายล้างด้วยสงครามซึ่งมาพร้อมกับฤดูหนาวอันแสบหนาวเหน็บและเต็มไปด้วยภัยอันตราย “เอียดห์ (แสดงโดย นูมิ ราเพซ)” เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ถูกบังคับให้กลายมาเป็นทหารเฉพาะพิเศษมีชื่อว่า “Black Crab”
พร้อมกับทหารอีกจำนวน 5 คน โดยภารกิจนี้เอง เหล่า Black Crab ได้รับมอบหมายให้ส่งแคปซูลที่เชื่อว่ามันจะสามารถใช้หยุดยั้งสงครามนี้ได้ แต่ความยากของภารกิจนี้อยู่ที่พวกเขาทั้ง 6 คนนั้นจะต้องเดินทางไปด้วยสเก็ตน้ำแข็งผ่านทะเลอันแสนหนาวเหน็บนี้ ซึ่งเอียดห์ก็ต่อสู้และฝ่าฝันเพื่อเป้าหมายหนึ่งเดียวของเธอก็คือการได้พบหน้าลูกของเธออีกครั้ง
โดยภาพยนตร์เรื่อง Black Crab เป็นภาพยนตร์แนวแอ็คชั่นระทึกขวัญสัญชาติสวีเดน ที่ตัวหนังถูกสร้างขึ้นจากนิยายขายดีและมีชื่อเสียงของ ‘Jerker Virdborg’ พล็อตเรื่องถือว่าทำออกมาได้ดี มีความน่าสนใจมาก ๆ ดูแล้วทำให้คนดูรู้สึกอินตื่นเต้นเอาใจช่วยลุ้นตามแบบสุด!
แม้ว่าช่วงแรก ๆ ที่เกริ่นของหนังจะค่อนข้างยืดเยื้อชวนง่วงไปสักหน่อยก็ตาม โดยหนังก็จะมีการเพิ่มลูกเล่นคือการFlash Back ไปยังอดีตไปมาเพื่อทำให้เราคิดตามว่าจริง ๆ แล้วหนังต้องการสื่ออะไรกันแน่ ซึ่งเรียกว่าเป็นหนึ่งจุดโดดเด่นที่น่าสนใจรวมเพิ่มความเร้าใจของหนังได้เป็นอย่างดี
แต่จุดด้อยของหนังเรื่อง Black Crab เลยก็คือการใส่ปูมหลังของนางเอกอย่าง เอียดห์ มาน้อยไปสักหน่อย ทำให้ดูไปตั้งคำถามไปว่าทำไมเธอถึงเก่งขึ้นขนาดนั่น? และที่ทำให้แอบ งง แถมไม่ค่อย Make sense อย่างแรงเลยก็คือตอนยิงแล้วกระสูนโดนแผ่นน้ำแข็งคือไม่แตกไม่หักได้ยังไง?!
และแน่นอนว่าจุดเด่นอีกหนึ่งอย่างของหนังเรื่อง Black Crab ที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้ นั่นก็คือด้านของ Production ที่ไม่ธรรมดาเลย มี CG ที่เนียนสมจริงอลังการดาวล้านดวงมาก ๆ จนบางฉากถึงขั้นแยกไม่ออกเลยทีเดียวค่ะ แถมด้วยeffects แบบจัดหนักจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นการยิงปืน การยิงจรวด ระเบิด แสงสีเสียงจัดว่าโหดมากทำเอาหลายฉากนี่ถึงกับต้องว้าวกันเลยทีเดียว
และจุดที่น่าสนใจของหนังเรื่อง Black Crab อีกหนึ่งอย่างที่ขอบอกเลยว่าไม่พูดถึงคงไม่ได้เลย นั่นก็คือนักแสดงสาวผู้มีชื่อเสียงอย่าง “นูมิ ราเพซ (@noomirapace)” โดยเธอนั้นได้ผ่านผลงานการแสดงมาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Daisy Diamond , The Girl with the Dragon Tattoo , Beyond (Svinalägorna) , Babycall และอื่น ๆ อีกมายมาย โดยในครั้งนี้เธอก็ได้รับบทเป็น “เอียดห์” เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เลี้ยงลูกตามลำพัง
ที่เมื่อมีสงครามเธอต้องกลายมาเป็นทหาร ซึ่งแน่นอนค่ะว่านูมินั้นแสดงได้ดีมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้อันแข็งแรง Movement ดี ซึ่งขอบอกเลยว่าต๊าซจนต้องชื่นชม รวมถึงฉากดราม่าน้ำตาแตกก็ทำออกมาได้ทัชใจคนดูมาก ๆ เรียกว่าแฟน ๆ คอหนังแอคชั่นรวมถึงแฟน ๆ ของสาวนูมิไม่มีผิดหวังอย่างแน่นอนค่ะ
รีวิว Black Crab
ทว่าเมื่อรับชมเข้าจริงแล้ว ต้องยอมรับว่านี่เป็นหนังแนวโรดมูฟวี่ที่เปลี่ยนจากท้องถนนเป็นทะเลน้ำแข็ง เปลี่ยนจากดราม่าเพื่อนร่วมทางไปสู่ความเข้มข้นของนายทหารจำเป็นในสงคราม ที่ภารกิจไม่ใช่การตามหาความฝันหรือเรียนรู้ชีวิตแต่เป็นการเอาชนะสงคราม เป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงหนังสงครามที่เดินเท้าเข้าแดนศัตรูอย่าง ‘Saving Private Ryan’ (1998) ในแบบที่ลดดีกรีความคลาสสิกลงมา ไม่ละเมียดเท่าแต่ก็มีกลิ่นความระทึกและน่าติดตามอย่างมีชั้นเชิงเช่นกัน
ราเพซรับบทเป็นคุณแม่ที่พลัดพรากจากลูกสาวไปขณะสงครามเริ่มต้นได้ไม่นาน เธอจึงเข้าเป็นทหารเพื่อตามหาลูกและวันหนึ่งก็ถูกตามตัวเร่งด่วนเพื่อเข้ารับภารกิจปูดำที่ต้องอาศัยความมืดยามค่ำคืนไถสเกตข้ามทะเลที่กลายเป็นน้ำแข็งดำเพื่อไปส่งแคปซูลบางอย่างที่จะช่วยให้สงครามยุติในดินแดนของศัตรู แต่เธอเพียงต้องการไปพบลูกสาวที่มีรายงานว่าอยู่ที่เมืองดังกล่าวเท่านั้น
และเมื่อกลุ่มจัดตั้งอย่างเร่งรีบทหารอีก 5 คนที่ถูกเข้าร่วมภารกิจจึงต่างทั้งบุคลิกและจุดมุ่งหมาย มีคนที่แก่วุฒิภาวะสูงคอยเป็นกาวใจ มีสไนเปอร์หนุ่มที่ยังคงมองหาเหตุผลของสงคราม มีพลวิทยุสื่อสารที่ร้อนรนเพราะไม่รู้ว่าแฟนสาวเป็นหรือตายเมื่อเขาจากมา รวมถึงทหารอาชีพที่เหมือนรู้ลับลมคมในของภารกิจบางอย่างอยู่ ทั้งหมดก็สร้างเคมีในกลุ่มให้ดูมีความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย และก่อความผูกพันแบบแปลก ๆ ขึ้นระหว่างการเดินทาง
ตรงนี้เป็นจุดดีทีเดียวที่หนังไม่ปูเรื่องราวของตัวละครอื่นมากนัก แต่ให้เราค่อย ๆ รู้ไปเอง ทำให้หนังไปเน้นการคิดเส้นเรื่องและอุปสรรคระหว่างทางได้อย่างน่าตื่นเต้น เช่น บ้านของคู่สามีภรรยาที่ไม่ยอมอพยพ ป้อมปืนกลบนเกาะกลางทะเล แผ่นน้ำแข็งเปราะบางที่พร้อมจะแตกเมื่อก้าวผ่าน เป็นต้น หนังจึงดูสนุกและลุ้นระทึกบ้าง ถ้าเป็นเกมก็คือมีการออกแบบด่านได้อย่างน่าสนใจ ช่วยส่งเสริมพัฒนาการของตัวละครที่เราชมอยู่ได้ดีจนละสายตาไม่ได้ในที่สุด
ความรู้สึกหลังดู
และอีกจุดเด่นของหนังที่ชอบมากคือ การเป็นหนังสงครามที่สมรภูมิแปลกตามาก เป็นลานสเกตน้ำแข็งสุดลูกหูลูกตาที่ต้องระวังทั้งข้าศึกและธรรมชาติที่อยู่รอบตัว การถ่ายภาพมุมสูงหรือมุมกว้างที่เห็นทิวทัศน์ของแผ่นน้ำแข็งเป็นลวดลายต่าง ๆ ก็ดูสวยและดูลึกลับไปพร้อมกัน แล้วประกอบกับการออกแบบฉากที่แปลกตาหลายครั้งอย่างทุ่งสังหาร หรือเรือขนาดใหญ่ ที่เกาะกลืนกับแผ่นน้ำแข็ง มันทำให้หนังดูมีรสนิยมอยู่ไม่น้อยเลย
กล่าวได้ว่า ‘Black Crab’ เป็นหนังที่ดูเอาสนุกเอามันก็เพลิดเพลิน ดูภาพเอาเพลินสายตาก็น่าประทับใจ ไม่สั่งสอนคนดูจนเกินงามปล่อยพื้นที่ว่างให้ผู้ชมได้คิดพอสมควร และแม้ตอนจบอาจจะเปลี่ยนโทนหนังไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นการลงของหนังที่ควรจะเป็นได้ดี เป็นประเภทหนังเน็ตฟลิกซ์ที่นาน ๆ ทีเราบังเอิญเปิดเจอแล้วพบว่ามันสนุกจนต้องบอกต่อครับ
เอียดห์ (แสดงโดย นูมิ ราเพซ) แม่เลี้ยงเดี่ยวลูกสาวคนเดียวที่ต้องมากลายเป็นทหารหญิง หลังเกิดสงครามขึ้นฉับพลัน เธอได้รับมอบหมายให้ส่งพัสดุลึกลับที่เรียกว่าภารกิจ “แบล็คแคร็บ (ปูดำ)” ที่สามารถหยุดสงครามครั้งนี้ได้ แต่ต้องเดินทางด้วยสเก็ตน้ำแข็งผ่านทะเลพร้อมด้วยทหารอีก 5 คน เพื่อไปยังเป้าหมายที่ห่างไกลกว่า 100 ไมล์ทะเล โดยมีเป้าหมายแรงจูงคือการไปพบลูกที่หายตัวไปในอดีต
ภาพยนตร์แอ็คชั่นระทึกขวัญของสวีเดนที่มีแบ็คกราวด์อยู่ในโลกหลังหายนะที่ถูกทำลายล้างด้วยสงคราม ผ่านการเดินทางด้วยสเก็ตน้ำแข็งที่ถือว่าแปลกใหม่เลยในหนังสงครามแบบไม่เคยมีมาก่อนแน่ๆ ที่ใช้ฉากผืนน้ำแข็งเป็นโลเกชั่นหลัก ซึ่งโดยปกติหนังสงครามเราจะได้เห็นฉากระเบิด พื้นดินระเบิด ไฟไหม้ อะไรต่างๆ เหล่านี้ที่ชวนให้คิดทันทีว่าถ้าไปวางเรื่องราวไว้บนผืนน้ำแข็งที่เปราะบางแตกง่ายจะเป็นเช่นไร มันเป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก และหนังเรื่องนี้ก็สามารถสร้างมันออกมาได้แปลกใหม่ชวนระทึกได้ตลอดเรื่องจริงๆ
ตัวหนังสร้างจากนิยายมีชื่อเสียงของนักเขียน Jerker Virdborg ซึ่งการที่เป็นนิยายมาก่อนก็ทำให้ตัวเรื่องละเอียดมีเนื้อหาลึกมากกว่าหนัง Netflix โดยทั่วไปแบบเห็นได้ชัด และที่น่าแปลกใจคือผู้กำกับ อดัม เบิร์ก (Adam Berg) ดูจากผลงานที่ผ่านเคยกำกับแค่หนังสั้นสองเรื่อง นอกนั้นเป็นมิวสิควิดีโอ นี่จึงเป็นผลงานหนังเต็มตัวเรื่องแรกของเขา และยังได้ดาราชื่อดังอย่าง นูมิ ราเพซ มาแสดงนำ พร้อมกับงานโปรดักชั่นที่ใหญ่โต ถือว่าไม่ธรรมดาเลยสำหรับหนังสร้างจากเน็ตฟลิกซ์ (เท่าที่สืบค้นเรื่องนี้ไม่เคยได้ฉายโรงมาก่อน มีแค่เปิดตัวในงานเทศกาลครั้งเดียวเท่านั้น)
จุดเด่นสุดของเรื่องนี้คือฉากสงครามผ่านการใช้สเก็ตน้ำแข็งในทะเลน้ำแข็ง ซึ่งตัวเรื่องในส่วนนี้มีถึงราวๆ 70% ของเรื่อง เรียกว่าเป็นงานขายฉากแอ็กชั่นสงครามบนผิวน้ำแข็งที่แปลกตามาก เริ่มตั้งแต่การเล่นสเก็ตหลบหลีกการโจมตีข้าศึกแบบต่างๆ ซึ่งในเรื่องใส่มาแทบครบเลยดีกว่า ตั้งแต่ฮอไล่ยิง ปืนกล สไนเปอร์ หรือแม้แต่จรวดหัวรบยิงถล่มก็มี เพียงแต่ไม่ได้ตกลงที่พื้นนำ้แข็งโดยตรง แต่ก็เป็นฉากใหญ่เปิดเรื่องก่อนลงพื้นน้ำแข็งที่ทำให้เห็นเลยว่างานโปรดักชั่นรวมถึง CG ของเรื่องนี้ไม่เล็กเลย
ส่วนใครที่คิดว่ายิงกันขนาดนั้นแล้วพื้นน้ำแข็งไม่แตกหรือไง ในเรื่องก็อาจจะมีจุดที่ดูเว่อร์ๆ อยู่บ้าง แต่หลายฉากก็ทำให้เราพอเชื่อได้ แล้วก็มีพวกอุบัติเหตุจากน้ำแข็งแตกจากการเดินทางรวมอยู่ด้วย รวมถึงฉากดำไปใต้น้ำ ซึ่งภัยอันตรายทุกอย่างที่เกิดกับผืนน้ำแข็งในเรื่องนี้มีไว้หมด รวมถึงพวกฉากโลกหายนะในทะเลน้ำแข็ง อย่างเรือโดยสารถูกแช่งแข็งครึ่งลำ สุสานศพใต้น้ำแข็ง ในหนังอธิบายไว้ว่าเป็นครั้งแรกใน 37 ปีที่ทะเลกลายเป็นน้ำแข็งหมด แต่ไม่ได้บอกสาเหตุไว้ แต่ก็น่าจะเกิดจากผลกระทบจากสงครามในเรื่องนี้ นอกจากนั้นวิวเวิ้งว้างกลางทะเลน้ำแข็งในเรื่องยังดูสวยแปลกตา จนสงสัยว่าถ่ายทำกันได้ยังไงถ้าไม่ใช้ CG ซึ่งเนียนจนแยกไม่ออกจริงๆ
สรุป Black Crab สนุกและดีไหม
สนุกตอบโจทย์คนดูหนังสงครามได้แน่ๆ และตัวเรื่องราวยังน่าสนใจ แปลกแตกต่างไปจากหนังสงครามโดยทั่วไปมาก ถือเป็นหนังจากเน็ตฟลิกซ์ที่ทำออกมาดีไม่แพ้หนังโรงเลย