รีวิว Ava – เอวา มาแล้วฆ่า
สวัสดีค่ะวันนี้มีหนังแอคชั่นสุดมันส์มาแนะนำกัน ในระหว่างที่กำลังรอดูชมหนังแอคชั่นฮอลลิวูดเรื่องใหม่ ที่สถานะตอนนี้ยังคงพากันยึกยักๆ เลื่อนวันฉายกันเป็นว่าเล่น เพราะเจอพิษโควิดเข้าไปเต็มๆ ทำให้เป็นช่วงที่รู้สึกหิวกระจายหนังแนวนี้จากฮอลลิวูดเป็นพิเศษ และในสุดสัปดาห์ที่จะมาถึงนี้ก็คงจะได้ปลดแอกเบาๆ กับหนังบู๊ที่ดูทำท่าว่าน่าจะดี และยังเป็นเจ้าของตำแหน่งหนังที่มีชื่อไทยที่เริดที่สุดแห่งปี อย่าง เอวา มาแล้วฆ่า
เรื่องย่อ
เอวา (เจสสิก้า แชสเทน) คือมือสังหารอันดับต้น ๆ ของวงการ แต่หลังจากที่เธอทำภารกิจระดับชาติผิดพลาด เธอจึงกลายเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งของทางการ รวมถึงโลกใต้ดินที่ฝึกฝนเธอขึ้นมา เอวาต้องทำทุกอย่างเพื่อที่จะเอาชีวิตรอด รวมถึงตามล้างแค้นมือสังหารหนุ่ม (โคลิน ฟาร์เรลล์) ที่อาจเป็นตัวการของเรื่องราวทั้งหมด
ในช่วงเวลาที่ร้างไร้หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ บรรดาหนังฟอร์มรองต่างดาหน้ามาเป็นทางเลือกให้คอหนังได้กลับสู่มนต์เสน่ห์ของโรงภาพยนตร์ และ AVA หนังที่มุ่งขายชื่อ เจสิกา แชสเทนในฐานะดาราสาวนักบู๊คนใหม่และพลอตแบบหนังสายลับหักเหลี่ยมเฉือนคม
พร้อมประดับประดาด้วยดาราหนังยุค 90s อย่าง จอห์น มัลโควิช และ โคลิน ฟาเรล มาเสริมทัพให้หนังของ เทต เทเลอร์ ผู้กำกับ The girl on the train และ The Help ที่พลิกแนวมาทำหนังสายลับเรื่องนี้ดูเตะตาน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
เนื้อเรื่อง
หนังเปิดเรื่องด้วยภารกิจนักฆ่าเพื่อเปิดตัว เอวา (เจสสิกา แชสเทน) นักฆ่าสาวมือพระกาฬที่สภาพจิตใจไม่มั่นคง เธอมักได้รับภารกิจให้สังหารเหยื่อที่เป็นทั้งพ่อมดการเงินและนายทหารระดับสูง แต่พฤติกรรมที่ชอบถามบาปของเหยื่อก็เริ่มสร้างความระคายเคืองให้กับองค์กร โ
ดยเฉพาะไซมอน (โคลิน ฟาเรล) เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กรนักฆ่าที่ต้องการกำจัดเธอ โดยมี ดุ๊ก (จอห์น มัลโควิช) คอยเป็นคนกลางที่พยายามยกเลิกคำสั่งฆ่าครั้งนี้
และนอกจากปัญหาเรื่องงานแล้ว เธอยังต้องกลับไปบอสตันเพื่อเคลียร์ใจกับทั้งน้องสาวอย่าง จูดี (เจสส์ เว็กซ์เลอร์) แม่ (จีนา เดวิส) และแฟนเก่าอย่าง ไมเคิล (คอมมอน) หลังเธอหายไปจากชีวิตพวกเขาถึง 8 ปี
เห็นได้ชัดว่า Ava มีความพยายามที่จะเดินไปในแนวทางเดียวกับหนัง “John Wick” หรือ “Anna” แต่กลับไปได้ไม่สุดทาง เพราะมาพร้อมกับฉากแอคชั่นอันน้อยนิด แต่เลือกที่ขยี้ปมดราม่าของตัวละครหลัก ที่พยายามบิ้วท์แล้วบิ้วท์แล้วก็ยังไม่น่าสนใจอยู่ดี โดยเฉพาะเรื่องปูมหลักของนางเอก ที่มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจทีเดียว แต่กลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างแบนเรียบเชียบ และออกโทนน่าเบื่อเสียด้วยซ้ำ จึงทำให้หนังแทบไม่มีความโดดเด่นใดๆ เลย
นักแสดง
ต้องยอมรับว่าหนังได้ทีมนักแสดงที่ค่อนข้างดีมากๆ มาร่วมแจมในหนังเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็น “เจสสิกา แชสเทน” ที่มารับบทนำได้อย่างสวยผงาด ซ้ำยังทำหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์หนังเรื่องเองด้วย ยังมี “โคลิน ฟาร์เรล”, “คัมมอน” และ “จอห์น มัลโควิช” มาร่วมสมทบด้วย นับว่าเป็นรายชื่อนักแสดงที่น่าดึงดูดใจให้ตีตั๋วไปดูหนังแอคชั่นคมๆ เสียจริง
ก่อนอื่นคือต้องชมที่ เทต เทย์เลอร์ พยายามผสานเรื่องราวแบบสายลับนักฆ่าและการหักเหลี่ยมเฉือนคมมาผสมกับหนังดราม่าครอบครัวจนได้ AVA ออกมา แต่ปัญหาหลัก ๆ คือ ทั้ง 2 ส่วนผสมดันไม่เข้ากันจนเหมือนเนื้อเรื่องส่วนพยายามแย่งพื้นที่ของหนังส่งผลให้
คนที่อยากมาดูหนังแอ็กชันก็จะรู้สึกว่าหนังอืดอาดทั้งที่การเดินเรื่องก็ไม่ได้ยืดยาดแต่อย่างใด ส่วนดราม่าครอบครัวก็ดันกลายเป็นส่วนเกินที่คนดูไม่ได้อยากรู้ว่า นังเอวา เคยคั่วกับไมเคิลมาก่อน หรือเคยติดยาติดเหล้าจนจะกลายเป็นหนัง สสส. อยู่ร่อมร่ออยู่แล้ว
ส่วน เจสสิกา แชสเทน ที่อุตส่าห์ไปฟิตร่างกายเล่นฉากบู๊ก็ถือว่าเธอทำได้สำเร็จ หนังมีฉากที่ขายซีนบู๊โชว์เซ็กส์แอพพีลของเธอเยอะอยู่ แต่สิ่งที่ทำให้เจสสิกา แชสเทนไม่อาจเป็นชื่อสามัญสำหรับคอหนังบู๊เหมือนแองเจลินา โจลีหรือมิลลา โยโววิชกระทั่งสการ์เลต โจแฮนสันได้ก็คงเป็นเพราะเนื้อเรื่องอีรุงตุงนังที่พยายามลากเข้าดรามาเบาหวิวและไม่สำคัญกับเรื่องจนน่าเสียดาย
รีวิว Ava – เอวา มาแล้วฆ่า
จุดสังเกต
แต่แล้วสิ่งที่คาดหวังไปทั้งหมดนั้น…อาจจะต้องสลายลงไป เมื่อนั่งดูหนังไปได้สัก 30 นาทีแรก เพราะกลับกลายเป็นว่าหน้าหนังที่ควรจะบู๊ล้างผลาญ มีฉากแอคชั่นแสดงถึงความเก่งกาจของมือปืนสาวอัดแน่น กลับกลายเป็นหนังที่ปูเรื่องราวชวนดราม่า เรื่อยเปื่อย กระทั่งทำให้เกิดอาการง่วงหนาวหาวนอน…เกือบจะเผลอหลับคาโรงหนังไปเลย
แม้ว่าการแสดงของ เจสสิกา แชสเทน หรือ จอห์น มัลโควิช จะทำออกมาได้ขั้นเทพตามระดับมืออาชีพของพวกเขา โดยเฉพาะฉากปะทะกันระหว่าง 2 ตัวละครในช่วงไคลแม็กซ์ ถือว่าทำออกมาได้ดี แต่ก็ดันตัดอารมณ์ไปเสียดื้อๆ กับบทต้องสะดุดกับช่วงรอต่อ ทำให้การเล่าเรื่องที่อ่อนปวกเปียกบั่นทอนหนังไปทั้งเรื่อง ฉากต่อสู้-ยิงกันกลายเป็นส่วนเสริมเท่านั้น และก็นั่นแหละ…ฉากทีเด็ดมันส์ๆ ก็น่าจะได้เห็นทั้งหมดจากในทีเซอร์ตัวอย่างหนังไปแล้ว
จุดด้อย
แถมหนังดันใส่ดราม่าเข้ามาแบบเกินพอดี เสียเวลาในส่วนนี้เยอะมากกว่าที่ควร และมันกลับไม่มีความน่าสนใจเลยสักนิด แถมยังไม่อิน ทำได้ไม่สุด สะเปะสะปะมาก หลายๆ จุดก็ยังไม่เคลียร์ว่าตกลงมันเป็นมายังไง เกิดอะไรขึ้น มีความงงๆ ในจุดนี้เยอะมาก ทำให้มันลดทอนความผูกพันธ์ของแต่ละตัวละครและความน่าติดตามลงไปอย่างน่าเสียดาย
จุด…ที่ยังดี
แต่ก็ใช่ว่า Ava จะจืดชืดไปเสียหมด อย่างน้อยๆ ก็ยังมีความโดดเด่นที่งานดนตรีและเพลงประกอบหนัง ที่เป็นผลงานการประพันธ์ของ “แบร์ แมคครีรี่” ที่เคยฝากผลงานดีๆ จากหนังชุด Happy Death Day และ 10 Cloverfield Lane เป็นงานดนตรีที่สามารถเข้ามาช่วยบิ้วท์อารมณ์ของหนังได้มีชั้นเชิงยิ่งขึ้น แม้ว่าจะช่วยพยุงได้เพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้แล้ว
ความรู้สึกหลังดู
ในช่วงเวลาที่ร้างไร้หนังแอ็กชันฟอร์มยักษ์ บรรดาหนังฟอร์มรองต่างดาหน้ามาเป็นทางเลือกให้คอหนังได้กลับสู่มนต์เสน่ห์ของโรงภาพยนตร์ และ AVA หนังที่มุ่งขายชื่อ เจสิกา แชสเทนในฐานะดาราสาวนักบู๊คนใหม่และพลอตแบบหนังสายลับหักเหลี่ยมเฉือนคม พร้อมประดับประดาด้วยดาราหนังยุค 90s อย่าง จอห์น มัลโควิช และ โคลิน ฟาเรล มาเสริมทัพให้หนังของ เทต เทเลอร์ ผู้กำกับ The girl on the train และ The Help ที่พลิกแนวมาทำหนังสายลับเรื่องนี้ดูเตะตาน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
หนังเปิดเรื่องด้วยภารกิจนักฆ่าเพื่อเปิดตัว เอวา (เจสสิกา แชสเทน) นักฆ่าสาวมือพระกาฬที่สภาพจิตใจไม่มั่นคง เธอมักได้รับภารกิจให้สังหารเหยื่อที่เป็นทั้งพ่อมดการเงินและนายทหารระดับสูง แต่พฤติกรรมที่ชอบถามบาปของเหยื่อก็เริ่มสร้างความระคายเคืองให้กับองค์กร โดยเฉพาะไซมอน (โคลิน ฟาเรล) เจ้าหน้าที่ระดับสูงขององค์กรนักฆ่าที่ต้องการกำจัดเธอ โดยมี ดุ๊ก (จอห์น มัลโควิช) คอยเป็นคนกลางที่พยายามยกเลิกคำสั่งฆ่าครั้งนี้
และนอกจากปัญหาเรื่องงานแล้ว เธอยังต้องกลับไปบอสตันเพื่อเคลียร์ใจกับทั้งน้องสาวอย่าง จูดี (เจสส์ เว็กซ์เลอร์) แม่ (จีนา เดวิส) และแฟนเก่าอย่าง ไมเคิล (คอมมอน) หลังเธอหายไปจากชีวิตพวกเขาถึง 8 ปี
ก่อนอื่นคือต้องชมที่ เทต เทย์เลอร์ พยายามผสานเรื่องราวแบบสายลับนักฆ่าและการหักเหลี่ยมเฉือนคมมาผสมกับหนังดราม่าครอบครัวจนได้ AVA ออกมา
แต่ปัญหาหลัก ๆ คือ ทั้ง 2 ส่วนผสมดันไม่เข้ากันจนเหมือนเนื้อเรื่อง 2 ส่วนพยายามแย่งพื้นที่ของหนังส่งผลให้
คนที่อยากมาดูหนังแอ็กชันก็จะรู้สึกว่าหนังอืดอาดทั้งที่การเดินเรื่องก็ไม่ได้ยืดยาดแต่อย่างใด ส่วนดราม่าครอบครัวก็ดันกลายเป็นส่วนเกินที่คนดูไม่ได้อยากรู้ว่า
นังเอวา เคยคั่วกับไมเคิลมาก่อน หรือเคยติดยาติดเหล้าจนจะกลายเป็นหนัง สสส. อยู่ร่อมร่ออยู่แล้ว.
โดยรวม
น่าจะมาอย่างผิดแผนไปสักหน่อย เธอไม่ได้ฆ่า แต่น่าจะมาแล้วทำให้เกือบเป็นบ้า จำกัดความแบบนี้น่าจะดีกว่า น่าผิดหวังที่หนังไม่ได้เสิร์ฟฉากบู๊แอคชั่นเจ๋งๆ ออกมาได้อย่างที่คนดูคาดหวัง เนื้อหาที่พยายามทำให้เข้มข้น แต่กลับทำได้ไม่ถึงสักฉาก ประเด็นดราม่าที่เบาโหว่งและทำให้เอาในช่วยตัวละครเลยสักนิด จึงทำให้ภาพรวมของหนังเรื่องนี้ออกมาค่อนข้างไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจจะไปดูเอาเสียเลย
สรุป
หากตัดเรื่องการเดินเรื่องที่ยัดพลอตจนเกินความจำเป็น ฉากแอ็กชันจุดขายของหนังที่พยายามเหลือเกินว่าจะให้มันออกมาเดือด ดิบ ดุ แบบ ซัดกันนัวร์ ๆ ก็ดันออกมาสับสนและไม่ได้ทำให้คนดูที่ยุคนี้ผ่านหนังอย่าง อย่าง John Wick หรือ Atomic Blonde มาแล้วตื่นตานัก แม้ว่า เจสสิกา แชสเทน จะดูเซ็กซี่กับบทเอวาแค่ไหนก็ตาม แต่อาการเดจาวูเหมือนเคยเห็นจากหนังสาวนักบู๊เรื่องอื่นก็ทำให้เรารู้สึกเฉย ๆ กับฉากแอ็กชันไปโดยปริยาย