รีวิว Madagascar 3 : Europe’s Most Wanted (2012)
กลับมาแล้วกับภาคต่อซีรีย์ Madagascar เมื่อบรรดาสัตว์ป่าอย่าง Alex (สิงโต), Marty (ม้าลาย), Melman (ยีราฟ) , Gloria (ฮิปโป) และผองเพื่อน ผู้เคยใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสบาย ในสวนสัตว์แห่งมหานครนิวยอร์ก แต่ด้วยชะตาเล่นตลกทำให้ต้องออกมาผจญภัยสู่โลกกว้่างตั้งแต่ภาคหนึ่ง ซึ่งก็คือ Madagasca ตามชื่อเรื่องนั่นเอง แล้วเรื่องราวก็เกิดขึ้นมากมายเพราะด้่วยความที่อยากกลับบ้านก็เลยช่วยหาทางกัน เลยจับพลัดจับพลู บุกไปตะลอนจนถึงแอฟริกา ในภาคที่สอง และภาคสามนี้ พวกเขาจะไปทัวร์ยุโรปกัน…
ในภาคนี้ พวกพ้องต้องมาประสบกับเจ้าหน้าที่หญิงกรมปศุสัตว์อย่าง Dubios ผู้ขึ้นชื่อเรื่องมีฝีมือเนี้ยบทำงานจับสัตวฺ์ไม่เคยพลาดมาเป็นคู่ปรับตัวฉกาจตัวสำคัญในเรื่อง และแน่นอนว่าแค่การหนีอย่างเดียว มันไม่เพียงพอที่จะช่วยให้พวกเขากลับนิวยอร์กกันได้ พวก Alex บังเอิญพบกับคณะละครสัตว์ ที่กำลังไปเปิดแสดงตามที่ต่างๆ เพื่อพยายามสร้างชื่อไปเปิดการแสดงที่นิวยอร์กพอดี แน่นอนว่า Alex และเพื่อนๆย่อมไม่พลาดกับโอกาสงามๆนี่แน่ๆ จึงไปขอร่วมด้วย…
แต่ทว่าเรื่องกลับนิวยอร์กมันไม่ง่ายเหมือนที่คิดซะแล้ว เมื่อคณะละครสัตว์ประสบปัญหาอย่างแรง ซึ่งอาจทำให้พวกเขาไม่มีสิทธิไปแสดงที่นิวยอร์ก ประกอบกับมีป้าโหดอย่าง Dubios มาตามรังควานไม่เลิกอีก Alex และผองเพื่อนจะทำอย่างไรกันต่อไป เชิญชมในภาพยนตร์ จ้า ^
ณ ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวเข้าโรง นายมิโต้รู้สึกว่าเหมือนมาเข้าสวนสนุกมากกว่า เพราะมีแต่แม่ๆจูงลูกจูงหลาน กันมาทั้งนั้น และด้วยความเป็นหนังการ์ตูน animation ที่ทำมาภาคต่อมาแล้วจนถึงภาค 3 นี่เอง ทั้งความน่ารักและสดใสของฉากแต่ละฉากในหนังที่ดูเหมือนจะขนมุขมาไม่มีหยุด สามารถเรียกเสียงหัวเราะให้ักับเด็กๆได้เป็นอย่างดี ทำให้นายมิโต้รู้สึกว่าหัวเราะได้เต็มๆ ในโรงหนัง และรู้สึกสนุกตามไปด้วยตั้งแต่แรกที่หนังเริ่มฉาย
นายมิโต้ขอชื่นชมกับทีมพากย์ไทยที่ทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยการใส่มุขเล็กๆแถมมาอีก ทำให้รู้สึกว่า ดูพากย์ไทยก็ฮาได้อีก ได้อีก
สำหรับเนื่้อเรื่อง นี่แทบไม่ต้องเดา เนื่องจากเป็นหนังการ์ตูนเด็กๆทำให้เนื้อเรื่องถูกออกแบบให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ซับซ้อน อาศัยการเคลื่อนไหวการกระทำของบรรดาสัตว์ที่ทำออกมาได้อย่างแปลกตา ดูไม่จำเจ เป็นตัวพลักดันมากกว่า แต่ที่นายมิโต้ประทับใจคือ กราฟฟิก animation ของเรื่องนี้ดูดี ฉากประกอบและเพลงท ำได้ออกมาเข้ากับตัวเรื่องได้อย่างดีมากๆ ดูแล้วสบายใจ สบายตาดี
และแน่นอนว่าหนังเด็กๆ ย่อมมีคติสอนเด็กๆกันอยู่แล้ว แน่นอนว่า Madagascar 3 นี่ก็มีข้อคิดเล็กๆน้อยๆ เหมือนกัน ทั้งเรื่องความสามัคคีในหมู่คณะ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และพลังแห่งมิตรภาพที่พร้อมจะฟันฝ่าอุปสรรคไปด้วยกัน เรียกได้ว่า ครบเครื่องจริงๆ …สมแล้วที่พาเด็กๆมาดููนะ คุณแม่
สิ่งที่นายมิโต้เสียดายคงหนีไม่พ้นเรื่องไม่ได้ดูเรื่องนี้เป็น 3D เพราะหลายต่อหลายฉากดูจะอวยให้กับ 3D กันเต็มที่ คิดว่าใครได้ดูคงคุ้มแน่นอน เพราะแค่ดูธรรมดา บางฉากยังรู้สึกได้เลยว่าทีมงานเขาเอาใจใส่กับ กราฟฟิก รายละเอียดมากๆ งานนี้แฟน animation ไม่ควรพลาด…
สรุปแล้ว หนังเรื่องนี้ใครเครียด ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงขาลง แนะนำให้จูงลูกจูงหลาน จูงแฟนเข้าโรงกันเลย เพราะดูแล้วช่้วยผ่อนคลายได้มาก ๆ เป็นหนังสร้างสรรค์ ใส่ความสนุกสนานในชีวิตได้อีกเยอะ ถ้ามีคะแนนให้เต็ม 10 นายมิโต้ จะ ให้ Madagascar 3 นี้ 7 จ้า ^ ^
อนึ่งทั้งหมดนี้เป็นมุมมองของคนตัวเล็กๆคนหนึ่งเท่านั้น หนังจะดีไม่ดี ตัดสินไม่ได้จริงๆหรือ ต้องไปพิสูจน์ดูกันสักทีที่โรงภาพยนต์นะ
รีวิว Madagascar 3 : Europe’s Most Wanted (2012)
หลังจากประสบความสำเร็จมากๆ ไปทั้ง ภาค 1 และ ภาค 2 ของผองสัตว์สุดฮาแห่งหนังอนิเมชั่นลายเส้นแบบเด็กๆ ทั้ง สิงโต อเล็กซ์, ท้าลาย มาร์ตี้, ฮิปโป กลอเรีย และ ยีราฟ เมลแมน ที่ภาคแรกไปผจญภัยกันที่ มาดากาสการ์ และภาคสอง ไปผจญภัยกันที่ แอฟริกา ที่สร้างเสียงฮาและเก็บเงินไปมากมาย คราวนี้ผองสัตว์สุดฮาทั้ง 4 และคิงจูเลี่ยน
แหล่าบรรดาเพนกวินสุดฮา ได้กลับมาอีกครั้งในภาคที่ 3 ที่คราวนี้ขอไปซ่าส์กันถึง ยุโรป ในภาคที่ 3 ของมาดากาสการ์ โดยคราวนี้ผองเพื่อนทั้ง 4 ต้อนหนีจากการไล่ล่าของ กัปตันดูบัวร์ โดยไปอาศัยคณะละครสัตว์ซาราโกซ่า เพื่อจะหางทางกลับบ้านของเขาสวนสัตว์เซนทรัลปาร์ค นิวยอร์คคือต้องบอกก่อนว่าหนังอนิเมชั่นมาดากาสการ์เอาจริงๆ ทั้ง ภาค 1 และ 2 คืองานที่แหวกกฏของอนิเมชั่นยุคสมัยใหม่ นั้นก็คือการไม่ต้องไปสนใจเนื้อเรื่องเลย เน้นปล่อยมุกฮาอย่างเดียว เอาสนุก แต่สอดแทรกเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อนทั้ง 4 ไว้ แถมลายเส้นก็แบบเด็กๆ
นั้นคือเหตุผลที่ทำให้หนังประสบความสำเร็จ ถึงกับมีภาคแยกให้กับตัวเพนกวินจอมขโมยซีน กันเลย แต่มีนอกลู่นอกทางไปหน่อยในภาค 2 ที่ไปสนใจจะทำให้หนังมีน้ำหนักในทางเนื้อเรื่องมากขึ้น แต่สำหรับในภาคที่ 3 นั้นหนังได้กลับมาเข้าสู่เส้นทางเดิมแล้วนั้นก็คือเน้นปล่อยมุกฮาโดยไม่สนใจอะไรเลยในเนื้อเรื่อง แต่ก็ยังคงเรื่องราวมิตรภาพเอาไว้
ซึ่งในภาค 3 มุกตลกนั้นในความคิดผมนั้นก็ฮากว่าภาค 1 และ 2 รวมกันอีกนะครับ แถมหนังก็ดูสนุกพอๆ กับภาค 1 อีกด้วยแถมมีอะไรๆ ที่แหวกแนวกว่าภาค 1 และ 2 ด้วย (มีที่ใหนกันละ เครื่องบินวาร์ปได้ หรือ หมีขับมอเตอร์ไซค์ดูคาติ) เพราะการใส่คณะละครสัตว์เข้ามาก็ช่วยให้หนังมีสีสันมากขึ้นไปอีก
แถมยังไปเสริมมุกให้ฮามากขึ้นกว่าเดิมอีกเท่าตัว แต่ด้วยการใส่ขณะละครสัตว์เข้ามานอกจากจะช่วยเพิ่มสีสันแล้ว คณะละครสัตว์ยังเป็นส่วนช่วยให้พองเพื่อนทั้ง 4 นั้นหาตัวตนที่แท้จริงให้กับตัวเองได้ ซึ่งการค้นหาตัวเองของผองเพื่อนทั้ง 4 นั้นคือส่วนที่ดีที่สุดในการใส่พวกเขามามากๆ คือไม่ได้เล่นกับความเป็นเพื่อนกันของทั้ง 4 อย่างเดียว คือมีอะไรใหม่ๆ ใส่เข้ามาด้วย
ความรู้สึกหลังดู
แต่การใส่พวกเขาเข้ามาเป็นส่วนนึงในภาคนี้ก็อาจจะทำให้แฟนๆ (อย่างผมเป็นต้น) ของมาดากาสการ์อาจจะทำใจไม่ได้กับเรื่องราวของพวกเขา “เพราะจะทำให้หนังปิดตำนานการหาทางกลับบ้านได้ซักที?” ซึ่งนั้นอาจจะหมายถึงการจบซี่รีย์หนังมาดากาสการ์ไปด้วย
เพราะทุกอย่างในหนังจะเคลียร์ เพราะทุกอย่างจบลงอย่างแฮปปี้นั้นเอง แถมยังเล่นมีการเล่นมุกในภาค 1 ด้วยในตอนจบที่ส่ง …. ไปยังมาดากาสการ์ แต่สำหรับที่ขโมยซีนที่สุดในภาคนี้และทุกภาคก็คือ เพนกวิน และคิงจูเลี่ยน, หนังภาคนี้ดีมากอีกอย่างคือการใส่เพลงประกอบลงมาได้ดีครับ
อย่างเพลง Fireworks ของ Katy Perry แถมเมื่อหนังได้ผู้กำกับที่เคยกำกับภาค 1 และ 2 อย่าง อีริค ดาร์เนลล์, ทอม แม็คเกรธ, คอนราด เวอร์นอน มาช่วยกันกำกับภาค ที่ 3 จึงทำให้งานนี้เป็นงานที่ดีที่สุดจริงๆ
“ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ตลอดเวลาการดูไม่อยากให้หนังจบเลย ผสมกับหนังนั้น ฮามาก ฮามากมาย ฮาจนไม่อยากให้หนังจบไปเลยครับ ด้วยเหตุผลนี้ถ้าหากภาค 3 เป็นจะเป็นภาคสุดท้ายของมาดากาสการ์ หนังจะเป็นการจบที่ดีมากๆ แต่ด้วยเหตุผลนั้นอีกละ
ถ้าหากหนังภาค 3 จะไม่เป็นภาคสุดท้ายของมาดากาสการ์ นั้นจะเป็นงานที่ดีกว่ามากๆ และสำหรับใน 3 ภาคทั้งหมดภาคนี้คือภาคที่ดีที่สุดครับ และเป็นงานที่มอบความสุขเต็มๆ”
แม้ตัวหนังจะเน้นไปที่อารมณ์สนุกด้วยมุขฮาๆ ครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่ก็ยังมีเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ระหว่างกลาง ทั้งเรื่องของกำลังใจ มิตรภาพ และการเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับตัวเอง ล้วนเป็นมุมมองที่หากเด็กได้ดูก็อาจซึมซับสิ่งดีๆ เข้าสู่จิตใจได้ ภาพที่สวยสดงดงาม ผสมผสานกับความเป็น 3 มิติ ทำให้เหมือนกำลังอยู่ในภาพฝัน แม้เพียงไม่นานเพราะความยาวของหนังนั้นไม่มากมายนัก (หนังยาว 85 นาที) ชอบในเพลงประกอบ ชอบในมุขตลกไม่มีพิษภัยแต่ใส่ไม่ยั้ง ชอบในสีสันบรรเจิด และชอบในภาพ 3 มิติที่เพิ่มอรรถรสอีกเท่าหนึ่งของมัน
ในภาคนี้ นอกจากจะมีตัวละครสัตว์ป่าเพิ่มมาอีกหลายตัวแล้ว ก็ยังจะมีตัวละครเป็นคนด้วย เธอไล่ล่าสัตว์ต่างๆ อย่างเข้มข้น ดุ และมัน ดูไปแล้วก็ฮากลิ้ง เหมือนจะล้อเลียนหนังอยู่หลายเรื่องทีเดียว
ดูแล้วก็นั่งคิดว่า ถ้าเป็นเราจะเลือกอะไร ระหว่างกลับสวนสัตว์ไปอยู่กรงที่มีคนปรบมือให้ หรือว่าจะไปอยู่กับคณะละครสัตว์ร่อนเร่ที่ให้ความบันเทิงกับผู้คนดี
