รีวิว Arthur and the Minimoys
Arthur and the Minimoys เป็นหนังอนิเมชั่น ของฝรั่งเศส เรื่องราวของเด็กชายตัวน้อยนาม อาร์เธอร์ เขาชอบฟังเรื่องเล่านิทานจากยายของเขาก่อนนอนทุกคืน ฝันของเขาเต็มไปด้วยการพบเจอกับชนเผ่าอัฟริกัน และเรื่องราวที่มหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อจากหนังสือเวทมนต์เก่าแก่ของปู่เขา
ซึ่งได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับกว่า 4 ปี เมื่อ อาร์เธอร์ มีอายุได้ 10 ขวบ เขาได้ตัดสินใจที่จะดำเนินรอยตามปู่ของเขา โดยการก้าวเข้าสู่โลกของเหล่าบรรดามินิมอยส์ เพื่อจะสำรวจและค้นหาอาณาจักร แต่ในนั้นกลับเจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย
และ อาร์เธอร์ ก็กลับกลายมีร่างกายที่เล็กหดจิ๋วลง จนมีขนาดเท่าบรรดาพวกมินิมอยส์อีกด้วย ซึ่งนี่คือเนื้อย่อของหนังเรื่องนี้ แบบคร่าวๆและเป็นหนังที่ผมคิดว่า ผู้ใหญ่ดูดีเด็กก็ดูได้ เนื้อหาหนังไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสังคมเลย กลับเป็นการสอนให้คนดูเกิดความสำนึกถึงการให้ความสำคัญกับครอบครัว
และ ความซื่อสัตย์ต่อการให้คำสัญญา ซึ่งผมดูแล้วนึกถึงตอนเด็กๆที่เคยฟังนิทานจาก คุณพ่อคุณแม่ ผมว่ามันเป็นความสุขของเด็กชายตัวน้อยๆคนนึง และทำให้อยากให้เล่าให้ฟังอีกบ่อยๆ และการสร้างจินตการถึงมันเพ้อฝันแต่ผมว่าบางอย่างบางเรื่องราวมันก็คล้ายสิ่งที่ป็นอยู่เหมือนกับปัจจุบัน
ในทางเทคนิค หนังแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็นนักแสดงจริงบนโลกมนุษย์ และส่วนที่ใช้ภาพแอนิเมชันสีสดถ่ายทอดเรื่องราว กระทั่งตัวละครที่เป็นมนุษย์ เมื่อหลุดลงไปในโลกของมินิมอยส์ ก็จะกลายร่างเป็นเผ่าพันธุ์ตัวจิ๋วฉบับแอนิเมชันด้วยแต่จะด้วยอารมณ์ของ ลุค เบซง
เจ้าของงานคลาสสิกแบบเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวในอดีตอย่าง Big Blue La Femme และ The Fifth Element ก่อนจะหันมาทำหนังแอ็คชั่นลูกครึ่งเอเชียยุโรปอย่าง The Transporter ในช่วงหลายปีหลัง แต่ผลงานของ ลุค เบงซง ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดี ในแง่ความคิดผมว่า การทำอนิเมชั่นของฝรั่งเศส นั้นน่ะเทคนิคภาพหรือเสียงเพลงประกอบผมว่าโอเคเลยนะครับ
แต่เสียอย่างเดียวที่ว่าการออกแบบตัวละคร ผมรู้สึกไม่ชอบใจนักทำไมต้องให้ตัวละครมีหน้าเป็น กระ จุดๆด่างบนใบหน้า ซึ่งดูแล้วมันออกไม่น่ารัก ในความคิดผม แต่ถ้ามองในอีกแง่หนึ่ง เด็กต่างชาติส่วนใหญ่จะเป็นกระ กันเยอะทาง ลุค เบงซง คงจับเอารายละเอียดนี้มาใส่แทน
ผมเลยดูไม่พิศมัยมากนัก ผมว่า อนิเมชั่นไทยก็สู้ได้นะครับกับ เรื่องนี้ ก้านกล้วย สู้ได้แน่นอน เผลอๆ สีสันของก้านกล้วยจะบรรเจิดมากกว่าด้วยซ้ำครับ แต่พ็อตเรื่องของก้านกล้วยต่างกันโดยสิ้นเชิง Arthur and the Minimoys จึงมีบรรยากาศของหนังแอ็คชั่นผจญภัย
แม้จะเป็นแอนิเมชันคอมพิวเตอร์กราฟฟิก แต่การตัดต่อและจังหวะของหนังในช่วงฉากที่ อาเธอร์กับเจ้าหญิงเซลีเนีย แห่งเผ่ามินิมอยส์ บุกตะลุยเข้าไปค้นหาสมบัติและกำจัดจอมมารมัลธาซาร์ จึงตื่นเต้นเร้าใจ สู้แบบยิบตา ชนิดที่กะพริบตาถี่ๆ
จนลืมหายใจก็ยังเก็บรายละเอียดของภาพแทบไม่ทัน นอกจากจังหวะที่เร่งเร้าอารมณ์บวกกับองค์ประกอบอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดนตรี เพลงประกอบ ทำได้ดี ผมว่าดนตรีนี่แหละครับเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีของหนัง อนิเมชั่นหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นทางค่ายยักษ์ใหญ่แห่งการ์ตูน
อย่าง วอลดิสนี่ย์ และ วอเนอร์ บาเธอร์ นั้นก็สรรค์สร้างเสียงดนตรีให้เร้าใจคนดูได้ดีเหมือนกัน ตัวละครสมทบเพิ่มสีสันอย่างฉูดฉาด คละเคล้าระหว่างความสับสนอลหม่านกับสร้างความบันเทิงภายในตัวภาพยนต์ ซึ่งตัวละครเหล่านี้
เหมือนกุญแจลับของหนังเรื่องนี้เลยทีเดียวเพราะจะสร้างตัวละครแต่ละตัวต้อง ทำให้แตกต่างและมีจุดเด่นของแต่ละตัว ทั้งติงต๊อง มาดเท่ห์ดูดี กระล่อน และหลายๆอย่าง ผมชอบการให้มีตัวละครหรือตัวประกอบๆเยอะเพราะทำให้
รีวิว Arthur and the Minimoys
ดูหนังไม่โล่งเพลินสายตาดีนี่ คือ อนิเมชั่นนะครับ ถ้าเป็นหนังทั่วไปอย่าเยอะเกินเลยครับ สับสนครับ ฮ่าๆ..!! ตอนแรกหนังเรื่องนี้ผมคิดว่าต้องออกเป็นเทพนิยาย ออกแนวปีเตอร์แพน หรือป่าวแต่ไม่ใช่เช่นนั้นเลย แต่กับทำให้ Arthur and the Minimoys ถูกเบรกอารมณ์เทพนิยายให้กลับมาสู่ยุคโลกปัจจุบันมากกว่า
ใครจะคิดล่ะครับว่าผู้สร้าง สรรรค์สร้างให้สวนหลังบ้านเล็กๆ กลายเป็นโลกอีกโลกได้ง่ายๆ ผมยังอยากจะเป็นเหมือนในหนังเลยคิดดูครับว่า แค่หลังบ้านเราก็มีอะไรสนุกๆมากมายถ้าเราตัวเล็กจิ๋ว ดอกไม้คงเหมือนเตียงนุ่มๆเลยดีเดียว สุดท้าย และท้ายสุด
สรุปแล้วว่า Arthur and the Minimoys เป็นตัวอย่างหนังอนิเมชั่นให้กับเด็กๆและคนทุกเพศทุกวัยควรไปดูกันครับ อาจจะมีการโปรโมทน้อย เพราะเจอกระแสของหนังแรงๆหลายเรื่องมาบดบังซะยังงั้น กับหนังภูติจิ๋วเรื่องนี้ เพราะผู้กำกับเป็นชาวฝรั่งเศส
นายทุนที่สร้างก็เป็นฝรั่งเศสหนังจึงได้สัญชาติฝรั่งเศส แต่หนังใช้ภาษาอังกฤษและเรื่องราวเกิดขึ้นในอเมริกา ลุค เบซง อำนวยการสร้างและกำกับหนังเรื่องนี้ ดัดแปลงบทมาจากวรรณกรรมเยาวชนไตรภาค ที่เบซงเป็นคนเขียนเอง
Arthur and the Minimoys เป็นภาคแรกของฉบับภาพยนตร์ ที่ประกาศไปแล้วว่าจะสร้างอีกให้ครบไตรภาคเหมือนฉบับหนังสือ น่าจะลองไปชมกันครับว่า ลุค เบงซง เขาก็ไม่ใช่ย่อยเลย ภาค 2 ภาค3 หวังว่าคงจะมีมาให้ชมกันต่อไปนะครับ
ความรู้สึกหลังดู
เป็นหนังแอนิเมชันครับ ชื่อฝรั่งเศสของมันคือ ‘Arthur et les Minimoys’ โปสเตอร์บางแบบที่ผมพบเจอ ก็ใช้ชื่อว่า ‘Arthur and the Invisibles’ จริงๆ มีอีกหลายชื่อตามแต่ภาษาของประเทศต่างๆ สำหรับประเทศไทย ได้ชื่อว่า “อาร์เธอร์ ทูตจิ๋วเจาะขุมทรัพย์มหัศจรรย์”
อาร์เธอร์ เป็นผลงานการกำกับของ Luc Besson ลุก เบซง เจ้าของผลงานเลื่องชื่ออย่าง ‘The Messenger: The Story of Joan of Arc’ (1999), ‘The Fifth Element’ (1997) และ ‘Leon’ (1994) ผมก็เพิ่งรู้ว่า เขากำกับภาพยนตร์แอนิเมชั่นไว้ด้วย
จริงๆ ภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ไม่ได้เป็นแอนิเมชันเต็มเรื่องหรอกครับ เพราะช่วงแรกๆ ของหนัง เป็นภาพยนตร์ปกติที่ใช้คนแสดงจริงเนี่ยแหละ แล้วค่อยเป็นแอนิเมชันในช่วงถัดมา และช่วงจบ มันก็กลับมาเป็นภาพยนตร์ที่ใช้คนแสดงใหม่ เรียกว่า เป็นกึ่งๆ ภาพยนตร์คนแสดง กึ่งๆ แอนิเมชันก็คงได้นะครับ
เรื่องราวของเด็กชายตัวน้อยนาม ‘อาร์เธอร์’ เขาชอบฟังเรื่องเล่านิทานจากยายของเขาก่อนนอนทุกคืน ฝันของเขาเต็มไปด้วยการพบเจอกับชนเผ่าอัฟริกัน และเรื่องราวที่มหัศจรรย์อย่างไม่น่าเชื่อจากหนังสือเวทมนตร์เก่าแก่ของปู่ เขา ซึ่งได้หายสาบสูญไปอย่างลึกลับกว่า 4 ปี
เมื่ออาร์เธอร์เปิดอ่านหนังสือ เขาจึงได้เข้าใจถึงสิ่งที่ปู่ทิ้งไว้ให้ ซึ่งเกี่ยวกับสมบัติที่ซ่อนอยู่ในสวนหลังบ้าน ที่ประหลาดไปกว่านั้น นั่นคือ โลกที่มองเห็นได้ไม่ทั้งหมดนั้น กลับมีชั้นใต้ดินที่มีเหล่าบรรดาสัตว์ตัวเล็กๆมากมายอาศัยอยู่ ซึ่งเขาเรียกมันว่า ‘มินิมอยส์’
เมื่ออาร์เธอร์มีอายุได้ 10 ขวบ เขาได้ตัดสินใจที่จะดำเนินรอยตามปู่ของเขา โดยการก้าวเข้าสู่โลกของเหล่าบรรดามินิมอยส์ เพื่อจะสำรวจและค้นหาอาณาจักร แต่ในนั้นกลับเจอกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย และ ‘อาร์เธอร์’ ก็กลับกลายมีร่างกายที่เล็กหดจิ๋วลง จนมีขนาดเท่าบรรดาพวกมินิมอยส์อีกด้วย
อ่านเรื่องก็คงพอนึกภาพได้ใช่ไหมครับ ว่าช่วงไหนใช้คนแสดง ช่วงไหนเป็นแอนิเมชัน เรื่องราวก็คงไม่ซับซ้อนอะไรมากมายตามประสาหนังสำหรับเยาวชน เพราะฉะนั้น เราจะข้ามเรื่องพล็อตไปก็แล้วกันครับ ไปดูเรื่องงานแอนิเมชันกันดีกว่า
งานสร้างแอนิเมชันของหนังเรื่องนี้ ทำออกมาได้สวยงามอลังการ เน้นสีสันสดๆ ซึ่งน่าจะถูกใจเด็กๆ การเคลื่อนไหวก็ทำได้ดีเป็นจังหวะๆ ซึ่งผมว่า มันก็ไปกันได้กับคาแรคเตอร์ที่สร้างและปั้นกันขึ้นมา
มี 3 นักร้องดัง มาเป็นคนพากย์ให้ คือ Madonna (เจ้าหญิงซิลิเนีย), David Bowie (เบทาเมช) และ Snoop Dogg (แม็กซ์)
การดำเนินเรื่องดูเพลินๆ ไม่ต้องคิดอะไร
(เพราะถ้าคิดมากแล้วมันจะไม่สนุก กับพล็อตที่สร้างมาเพื่อเด็กโดยเฉพาะ ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมเยาวชนเรื่องดัง ‘Arthur and the Invisible’) ก็พาเราไปจนจบได้ไม่ยาก
ถ้าสังเกตจะพบว่า คนทำท่าจะคลั่งไคล้ใน Star Wars เอามากๆ ตัวร้ายในเรื่องก็คล้ายๆ กับหน้าตาของตัวร้ายใน Star Wars เอามากๆ จะเรียกว่า สร้างอนิเมชั่นมาเพื่อล้อเลียน Star Wars ก็คงจะไม่ผิด