รีวิว 365 Days This Day
กลับมาคราวนี้กับภาพเปิดของพระ-นางในชุดแต่งงาน และประโยคเชิญชวนที่ว่า “ฉันไม่ได้ใส่กางเกงใน” หืม อะไรของเธอน่ะเลาร่า
365 Days: This Day ภาคต่อที่ทุกคนรอคอยหรือเปล่านะของ 365 DNI เล่าเรื่องราวต่อจากภาคที่แล้วและเสิร์ฟออร์เดิร์ฟเบา ๆ ให้หายคิดถึงด้วยฉากแซ่บซี๊ดบนโต๊ะ ท่ามกลางแสงแดดสาดส่องไล้สรีระของ เลาร่า (อันนา-มาเรีย เชกลูสกา) และ มัสซิโม (มิเคเล มอร์โรเน)
เจ้าบ่าวมาเฟียของเธอ ก็เป็นฉากที่เขาทั้งคู่พลอดรักก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน ที่อื้อหืม เปิดฉากกันแบบนี้เลยเหรอ
แน่นอนว่าความรักของพวกเขาครั้งนี้แนบแน่นยิ่งกว่าเคย เพราะเธอได้เปลี่ยนสถานะเป็นภรรยาของเขาอย่างเต็มตัว แต่การเริ่มต้นครั้งใหม่ของคู่รักคู่นี้ ต้องเผชิญกับเรื่องราวสุดน้ำเน่า เพราะความลับที่แอบซ่อนอยู่ภายในตระกูลของมัสซิโม่ได้ก่อปัญหาให้กับเลาร่าเข้าจนได้ และ
นาโช (ซิโมเน ซูซินนา) ชายลึกลับสุดเซ็กซี่ที่เข้ามาในชีวิตเลาร่า ทำให้การแต่งงานครั้งนี้เกิดปมใหญ่ขึ้นในหัวใจของเลาร่า ที่ภาคนี้ต้องบอกว่าเลาร่าช่างเป็นนางเอ๊กนางเอก น้ำส้มคั้นต้องมาแล้วละค่ะ ขาดไม่ได้กันเลยเชียว
ก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วละค่ะว่าพล็อตเรื่องมันจะพราวไปกว่าเดิม มาเฟียเอาแต่ใจอย่างมัสซิโม่ภาคนี้ก็รักเมียหลงเมียแต่งานก็รัดตัวและมีความลับเต็มไปหมด ปมธุรกิจยุบยับที่ใส่เข้ามาในเรื่องทำให้เกิดเส้นเรื่องที่เพิ่มมากขึ้นกว่าภาคที่แล้ว แต่ก็ช่างเบาดุจขนนกไม่ต่างไปจากเดิม
โคลงเคลงหลวมโพรกจนต้องบอกกับตัวเองว่า เราคงไม่ต้องไปสนใจเครื่องเคียงจืดชืดนั่นหรอกน่า
บทเขียนให้เลาร่าเติบโตขึ้น แข็งแกร่งขึ้นและเป็นนางเอกมากมายขึ้นกว่าเดิม ด้วยการถูกดึงเข้าไปอยู่ในวังวนแย่งชิงจนกลายเป็นหมากในกระดานที่ยืนอยู่บนความเสี่ยง โดยที่ตัวเธอเองนั้นช่างไร้เดียงสา ดุจนางเอกละครไทยอมตะ ที่ไม่ต้องเดาอะไรทั้งนั้น
เพราะทางมันมาแนวนี้อยู่แล้ว ส่วนในด้านของมัสซิโม่ ที่ภาคแรกเราได้เห็นความดุเด็ดและช่างเอาแต่ใจของมาเฟียหนุ่ม
ภาคนี้ยังได้เห็นอยู่่เช่นเดิม แต่หากมีการขับเคี่ยวให้เส้นเรื่องใหม่แข็งแรงมากขึ้นกว่านี้อีก (เยอะเลยทีเดียว) ภาคนี้จะกลายเป็นหนังมาเฟียเล่นรักที่ดุ เด็ด เผ็ดมันและน่าสนใจกว่านี้มาก
ฉากสุดแซ่บที่หลายคนรอคอย ก็ไม่ได้คอยเก้อกันหรอกค่ะ แต่อาจจะไม่สาแก่ใจสายฮาร์ดคอร์สักเท่าไหร่ เพราะภาคนี้ลดความหวือหวาลงไปเยอะ ท่วงท่าลีลาไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่จนวูบวาบ แต่ที่เปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดก็คือมุมกล้องที่เซฟขึ้น
ดีขึ้น ประหนึ่งกำลังนั่งดู MV เพลงรักร้อน ๆ ก็ไม่ปาน เนื้อเรื่องมีจึ๋งเดียว แต่ไอ้ที่มากมายเกินครึ่งเรื่องคือการแสดงอารมณ์ล้วน ๆ ทั้งอารมณ์วาบหวาม ร้อนรัก อารมณ์ร่าเริง เศร้า เหงา โกรธ ไม่ว่าจะไปไหนทำอะไรเสียงเพลงก็ตามไปทุกหนทุกแห่งแถมไม่เข้ากันอีกต่างหาก
จะเยอะไปไหนเนี่ยถามจริง ๆ ทั้งฉากสำคัญและไม่สำคัญพร่างพราวดุจดวงดาวบนท้องฟ้า จนกลายเป็นช้ำมากกว่าฉ่ำอย่างที่ควรจะเป็น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เราจะได้เห็นฉากรักหลากอารมณ์ที่ไม่ได้มีแค่ 1 คู่แน่นอนค่ะ และเป็นการเข้าฉากที่ฉึบฉับ
ไร้เหตุผล เรียกว่าตีหัวเข้าฉากกันโต้ง ๆ ให้งงกับเนื้อเรื่องกันเล่น ๆ เหมือนผู้สร้างกำลังย้ำเตือนกับเราว่า อย่าไปสนใจมาก ดูฉากโอโบ๊ะจามะเคล้าเสียงเพลงกันไปก็พอแล้ว ย้วยกว่านี้ก็ขอบกางเกงในนางเอกแล้วละค่ะ
ส่วนผสมที่ไม่ลงตัว แต่ก็ดีนะ ถ้าภาคที่แล้วเป็นอาหารจานร้อนที่เผ็ดปากเจ่อ
ภาคนี้ก็เป็นอาหารจานด่วนที่แซ่บพอดีคำ ความจัดจ้านอาจไม่เท่ากับภาคแรก แต่การจัดจานนั้นสวยงามน่ามองกว่าภาคแรกเป็นไหน ๆ โดยเฉพาะฉากท้าย ๆ ที่สร้างอารมณ์วาบหวามได้พอดีแบบกรุ้มกริ่ม ยิ้มขำได้กับจินตนาการของนางเอก แต่ส่วนดี ๆ
ที่เพิ่มเข้ามานี้กลับกลายเป็นส่วนผสมที่ไม่ลงตัวไปเสียอย่างนั้น เหมือนน้ำกับน้ำมันที่แบ่งแยกกันชัดเจนให้เห็นเป็นชั้น ๆ จนเกือบจะเป็นหนังคนละเรื่องอยู่แล้วเชียว
รีวิว 365 Days This Day
เรื่องราวการเริ่มต้นใช้ชีวิตคู่ของ เลาร่า (รับบทโดย Anna Maria Sieklucka) สาวโปแลนด์สุดสวย และ มัสซิโม (รับบทโดย Michele Morrone) หัวหนาแก๊งมาเฟียอิตาลีจอมบงการ หลังจากเหตุการณ์ในอุโมงค์ทำให้เลาร่าสูญเสียลูกในท้องไป
แม้จะสร้างบาดแผลในใจให้กับเธอ แต่เลาร่าก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกเรื่องนี้กับมัสซิโม ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูเหมือนจะราบรื่น ทว่ากลับมีหลายสิ่งที่ทำให้เลาร่าอึดอัดใจ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาเกิดความระหองระแหงกันขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้มีชายหนุ่มมากเสน่ห์อย่าง นาโช(รับบทโดย Simone Susinna) เข้ามาใกล้ชิดจนทำให้เธอเริ่มหวั่นไหว
การดำเนินเรื่อง เริ่มเรื่องเป็นการแต่งงานของพระนาง หลังจากเหตุการณ์ตอนจบในภาคแรกทำให้ เลาร่า สูญเสียลูกในท้องทั้งที่ยังไม่ได้บอกกับ มัสซิโม เธอตัดสินใจเก็บเรื่องนี้ไว้ต่อไปเพราะกลัวว่าเขาจะตามไปแก้แค้นจนเกิดการนองเลือดขึ้น
ในช่วงครึ่งแรกของหนังไม่มีเนื้อหามากมายเพราะเสิร์ฟฉากเลิฟซีนของพระนางแบบจัดเต็ม แม้ว่าทั้งคู่จะรักกันปานกลืนกินแต่เมื่อกลับจากฮันนีมูน เลาร่า กลับพบว่าการใช้ชีวิตของเธอกับสามีนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะนิสัยจอมบงการ บ้างาน และไม่ยอมเปิดใจของ มัสซิโม
ที่ทำให้นางเอกรู้สึกว่าตัวเองเหมือนผู้ใต้บัญชาที่ถูกกักขังของเขา ทั้งคู่เริ่มทะเลาะกันทีละนิด จนมาถึงเรื่องที่นางเอกรู้ว่าพระเอกนั้นมีน้องชายซึ่งเขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้และบ่ายเบี่ยงที่จะเปิดใจพูดคุยเรื่องส่วนตัวให้เธอฟัง ในงานเลี้ยง เลาร่า เข้าใจว่า มัสซิโม ยังคงยุ่งเกี่ยวกับอดีตคู่ขาสาว จึงตัดสินใจหนีไปจากเขาเพื่อพักใจ โดยมี นาโช คนสวนคนใหม่ที่ช่วยพาเธอไปด้วย
อย่าว่าแต่คนดูจะสับสนในอารมณ์เลยค่ะ ผู้เขียนว่า ผู้สร้างแกก็คงจะงงกับตัวเองอยู่ไม่น้อย มุมกล้อง แสงเงา การย้อมสีต่าง ๆ และโลเคชันสวยงามกว่าภาคที่แล้วจนอยากเอ่ยปากชมว่าดีจัง มุมนั้นสวยมุมนี้ดี งามจริง ๆ แต่อะไรที่มันมีมากเกินไปจากที่จะฉุดให้เราหยุดเสพสุขอยู่ตรงนั้น กลับทำให้ความตื่นตาตื่นใจที่ควรจะมีหายวับเอาง่าย ๆ ซะงั้นน่ะ
เนื้อหาเน่า ๆ เราจะไม่พูดถึง เพราะเขาก็เน่ามาตั้งแต่แรก แต่สิ่งที่เห็นความตั้งใจของผู้สร้างก็คือ ความพยายามที่จะใส่เนื้อหาที่ไม่ค่อยจะมีให้มีมากขึ้น การนำเสนอที่มีความเป็นอาร์ตมากกว่าเดิม ซึ่งจุดนี้ถือเป็นการพัฒนาในด้านดีแต่เมื่อใส่ไปในฉากที่
จำเป็นต้องใส่ด้วยเหรอ? ก็ทำให้กลายเป็นเสียของไปซะฉิบ เพิ่มเส้นเรื่อง เพิ่มตัวละครที่เหมือนจะมีความสำคัญแต่กลับเคว้งคว้าง ความตื่นเต้นที่ควรจะมีกลายเป็นความเอื่อยเนือยจนน่าเสียดาย และฟุ่มเฟือยในหลาย ๆ ฉาก แต่ความมั่นหน้าที่มากขึ้นไปอีกก็คือ
การตัดจบที่ทิ้งเอาไว้อย่างชัด ๆ โดยไม่ต้องบอกว่าเขาจะมีภาค 3 ตามมาอีกแน่ ๆ เป็นไตรภาค OMG พระเจ้าจอร์จ สุดยอดอีกแล้วจ้าาา
ความรู้สึกหลังดู
ขณะที่ เลาร่า หนีไปอยู่ที่บ้านของ นาโช ทางด้านของ มัสซิโม ก็ร้อนใจและสั่งลูกน้องให้เร่งตามหาเธอไปทั่ว ทั้งนี้ความรู้สึกของนางเอกที่มีต่อ นาโช ในตอนนี้ก็กำลังพัฒนามากขึ้น ไปตามลุ้นกันต่อว่า เลาร่า จะตัดสินใจอย่างไรและเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้างหลังจากนี้
จัดเต็มฉากเซ็กส์ซีนที่ความเร่าร้อนลดลง แม้ว่าภาคนี้จะมีฉาก 18+ ทั้งคู่ของพระนางและคู่ของ โดเมนิโก้ (Otar Saralidze) ลูกน้องคนสนิทของพระเอก กับ โอลก้า (Magdalena Lamparska) เพื่อนสนิทของนางเอก แต่กลับให้ความรู้สึกที่ต่างจากภาคแรกอยู่บ้าง ความโดดเด่นของฉากเหล่านี้ยังคงเป็นความดิบเถื่อนร้อนแรงของพระเอกกับนางเอกที่สรรหาวิธีมาทำให้สามีพอใจ
ความรู้สึกส่วนตัวคือยังไม่รู้สึกถึงประเด็นหลักที่หนังต้องการจะสื่อออกมา การแทรกความดราม่าต่าง ๆ และความเร่าร้อนของพระนางที่มีมากจนเกินพอดีทำให้รู้สึกเฉย ๆ กว่าภาคแรก อีกอย่างที่คิดว่ามากเกินไปคือเพลงประกอบ แบบว่าลิสต์เพลงประกอบน่าจะยาวเหยียดเพราะใส่มาแทบจะทุกซีน
ทั้งยังขาดบทสนทนาของพระนางจึงดูเหมือนตัวละครแทบจะไม่มีพัฒนาการใด ๆ เลย พูดถึงความน่าสนใจของภาคนี้คือตัวละคร นาโช ที่มาแย่งซีนและแอร์ไทร์มของพระเอกอยู่พอสมควร และประเด็นน้องชายของพระเอกที่ทำให้เราอยากรู้ความเป็นมาของเขามากขึ้น
ในส่วนของความขัดแย้งระหว่างแก๊งมาเฟียคู่อริยังไม่ถึงขั้นดุเดือดหรือเปิดศึกกัน คงต้องรอดูภาคต่อไปว่าหนังจะดำเนินเรื่องไปในทิศทางไหน
ใครที่เป็นแฟนของภาคแรกหรือชื่นชอบหนังแนวโรแมนติกเร่าร้อนแบบไม่เน้นสาระของเนื้อเรื่องมากมาย ก็สามารถกดเข้าไปดูกันได้ เคมีของพระนางยังคงร้อนแรง โดยเฉพาะความหล่อแซ่บของพระเอก Michele Morrone
ที่ไม่มีคำว่าแผ่วเลย รวมถึงบทของพระรอง(?) ที่ได้นักแสดงหนุ่ม Simone Susinna ผู้มีนัยน์ตาสีฟ้าน่าหลงใหลมาเป็นคู่แข่งคนสำคัญ อย่างไรก็รอติดตามชมภาคต่อความรักของทั้งคู่กันได้ในภาคที่สามนะคะ
365 DAYS THIS DAY เป็นภาพยนตร์แนวน้ำเน่าเหมือนกับละครไทยแบบไม่มีผิดเพี้ยนเลยแม้แต่น้อย หากเราตัดฉากอีโรติกออกไปจากภาพยนตร์เรื่องนี้เราสามารถพูดได้แบบเต็มปากเต็มคำเลยว่ามันคือภาพยนตร์แบบละครไทยที่นี่มีอะไรน่าสนใจเลยแม้แต่น้อยแถมเรื่องราวยังติดน่าเบื่ออีกต่างหาก
สิ่งที่สามารถพยุงให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจก็คือฉากอิโรติกแบบล้วนๆ แต่การใส่ฉากวาบหวิวเข้ามามากจนเกินไปมันทำให้เนื้อเรื่องไม่เดินจนเหมือนกับการรับชมหนังโป๊ การเล่าเรื่องราวที่อื่นอาจยืดยาดสามารถสร้างความรำคาญใจให้กับผู้รับชมได้เป็นอย่างดี หากพิจารณาให้ดีเราจะพบว่าเรื่องมันมีความยาวเกินความจำเป็นไปมากหากเทียบกับเนื้อหาจริงที่มีเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นฉากจบยังทิ้งไว้แบบค้างคาเพื่อสานต่อไปยังภาค 3 แบบโต้งๆ อีกต่างหาก
แต่ถ้าพูดถึงในส่วนของฉากอีโรติกแล้วก็ถือว่ายังคงสามารถทำออกมาได้ดีเหมือนกับในภาคที่แล้วที่สามารถดึงดูดให้ผู้รับชมสามารถรับชมอย่างใจจดใจจ่อไปจนถึงฉากจบได้ แต่หากใครคาดหวังว่าตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีศีลธรรมอันดีเราขอแนะนำว่าอย่าคาดหวังดีกว่าเพราะคุณอาจจะผิดหวังได้เพราะสุดท้ายแล้วนางเอกของเราก็ไม่ได้มีแค่พระเอกคนเดียวแต่อย่างใด
โดยรวมแล้วสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ายังคงเป็นภาพยนตร์ที่มีดีในฉากอีโรติกเหมือนเดิม พระเอกมีความน่าสนใจและมีเสน่ห์ไม่ต่างจากในภาคแรก แต่สิ่งที่เป็นจุดสังเกตก็คือเนื้อเรื่องจริงมีเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นที่เหลือเป็นน้ำล้วนไม่มีอะไรผสมเลย นางเอกดูโทรม บดน้ำเน่าจนทำให้เราอาจรู้สึกอยากอ้วก และฉากอีโรติคของตัวละครใหม่ที่ใส่เข้ามาก็มีน้อยเกินไปทำให้ไม่โดดเด่นเท่าที่ควร