รีวิว Stranger Things Season 1
เพิ่งปล่อยตัวอย่างล่าสุดของ ‘Stranger Things Season 2’ ออกมาก่อนหน้านี้ไม่กี่วันเองครับ สำหรับซีรีส์เรือธงจากค่ายหนังมาแรงแซงโค้งอย่าง ‘Netflix (เน็ตฟลิกซ์)’ ที่แม้ว่าในบ้านเรานั้นซีรีส์เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ดังตู้มต้ามติดหูติดตาคนทั่วไปซักเท่าไหร่นัก แต่ผมบอกได้เลยครับว่านี่คือซีรีส์ที่มีคนรอติดตามภาคต่อเยอะมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ !
จริงๆ ผมเองก็เป็นคนนึงล่ะครับที่เคยเห็นโปสเตอร์จากหนังเรื่องนี้ผ่านหูผ่านมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดจะหยิบมาดูเป็นจริงเป็นจังอะไร เพราะคิดว่าน่าจะเป็นหนังเด็กเจอเอเลี่ยนทั่วๆ ไปอย่างที่เราคุ้ยเคยกันอย่าง E.T (E.T. the Extra-Terrestrial , 1982) หรือ Super 8 (2011) แต่อาการติดซีรีส์มันก็เหมือนติดโรคระบาดล่ะครับ ในเมื่อของเค้าดีขนาดนี้ ผมจึงทนแรงรบเร้าแกมขู่บังคับให้ไปดูจากเพื่อนที่เป็นคอซีรีส์เรื่องนี้ไม่ไหว จนสุดท้ายก็พากันติดงอมแงมไม่ได้หลับไม่ได้นอนจนได้ และถ้าเพื่อนๆอยากรู้จักซีรีส์เรื่องนี้เหมือนกันล่ะก็ ตามผมมาได้เลยครับ…
เป็นซีรีส์ที่เปิดเรื่องมาก็ทำให้งงนิดหน่อย เพราะเป็นซีรีส์ย้อนยุคกลับไปช่วงปี 80 ก็เลยงงๆว่าหนังคิดยังไง ที่เอาหนัง Sci-Fi ที่เราคิดว่ามันควรจะล้ำสมัย มาเดินเรื่องในยุคที่เทคโนโลยีเราก้าวไปไกลแล้วแบบนี้ แต่กลับกลายเป็นว่านี่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวและน่าชื่นชมมาก
Stranger Things มีทั้งความลึกลับ ให้ปริศนาที่น่าค้นหา กับเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติ ผสมกับความสยองขวัญ และ Sci-Fi ได้อย่างน่าสนใจ โดยในตอนแรกเราจะทั้งงุนงง สงสัยไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงแรก เอาตรงๆก็คือผมยังไม่ติด เพราะยังไม่รู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าอะไรให้ฟังมากนัก
แต่พอพ้นช่วงครึ่งแรกไปเท่านั้นแหละ ที่พอเฉลยปมปริศนาต่างๆ ทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ซีรีส์ก็ทำให้ต้องลุ้นกันตัวโก่ง เพราะแต่ละตอนจบตอนได้น่าติดตามมาก มันทำให้เราอยากรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรต่อ และทำให้ผมดูช่วงท้ายแบบรวดเดียวจบไปเลย
ตัวละครเดินเรื่องมีทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ทำให้มีความหลากหลายในการเล่าเรื่องได้ดีมาก ผ่านมุมมองตัวละครต่างๆ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีส่วนผสมของความหลากหลายของวัย ในหนังสยองขวัญ ซึ่งปกติถ้าเป็นหนังจะหยิบมาแค่ช่วงวัยเดียว แต่เนื่องจากนี่เป็นซีรีส์ เลยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าหนังที่ฉาย
นอกจากนี้คาแรกเตอร์บางตัวยังมีสนใจความเฉพาะกลุ่มด้วย เช่น มีความสนใจในเรื่องบางเรื่องของยุค 80 เป็นพิเศษ ทำให้คนที่เกิดทันยุคนั้น หรือสนใจสื่อบันเทิงในยุคนั้น มีความเข้าถึงร่วม เหมือนมี Easter Egg ของยุคสมัยนั้นแทรกมาเป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม
จริงๆก็อยากเขียนชื่นชมมากกว่านี้ เล่าความเจ๋งมากกว่านี้ แต่ก็กลัวจะกลายเป็นการสปอยล์เข้าจริงๆครับ เอาเป็นว่าแนะนำให้ไปดูกันเอง ซีรีส์เรื่องนี้มีฉายบน NETFLIX ครับ
‘Stanger Things’ เป็นซีรีส์แนว ไซไฟ-ทริลเลอร์ (Sci-fi / Thriller) ที่ผสมผสานกลิ่นอายยุค 80’s เอาไว้อย่างอัดแน่น ทำให้เราอดนึกถึงสไตล์หนังเท่ๆ ของตาลุง สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) หรือบรรยากาศหลอนๆจากนิยายสยองขวัญของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ไม่ได้ รีวิวหนังฝรั่ง
รีวิว Stranger Things Season 1
โดยซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าถึงยุค 1980 ที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐอินเดียน่าได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘วิล บายเยอร์’ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ จนทำให้แม่และพี่ชายของเขาต้องออกตามหากันให้วุ่น แต่ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็ดูเหมือนว่าวิลจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไว้เลย ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกคนในเมืองต้องช่วยกันออกตามหา ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง แก๊งเพื่อนๆ ของวิลอีก3คน ก็ได้พบกับเด็กหญิงลึกลับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่จะมาช่วยพวกเค้าหาทั้งวิลและทั้งคำตอบว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่ !!
สิ่งที่ผมชอบเป็นอันดับแรกเลยของหนังเรื่องนี้คือ…
‘เรื่องราวและการเล่าเรื่องราว’ ซึ่งบอกตามตรงว่าพล็อตหลักของซีรีส์เรื่องนี้ อาจจะดูธรรมดาหรือออกจะคลิเช่เกินไปสำหรับใครหลายๆ ที่คุ้นเคยกับหนังไซไฟ-ทริลเลอร์
เรื่องอื่นๆ เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะพล็อตสัตว์ประหลาด เด็กมีพลังจิต หรือ การทดลองลับใดๆก็ตาม ก็อาจจะคิดว่าเรื่องนี้ก็คงคล้ายหนังเรื่องอื่นๆนั่นแหละ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าไม่มีคำว่าธรรมดาเลยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะมันคือการหยิบเอาหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ในตำนานเหล่านั้นมายำรวมกันไว้ในหนังเรื่องเดียว และบอกเล่าเรื่องราวใหม่ได้
อย่างลื่นไหล มีจังหวะการติดต่อสนใจและชวนให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะไอเดียของหนังที่วางคอนเซ็ปการผูกปมเรื่องราวต่างๆ ซึ่งตรงนี้บอกได้เลยว่ามันคือการนำมาเล่าใหม่ได้มีสไตล์ไม่จำแจไม่ซับซ้อน และเคารพหนังในยุค 80’s มากจริงๆ ครับ
ความรู้สึกหลังดู
ต่อไปคงต้องยกความดีความชอบให้กับ ‘นักแสดง’ แทบทุกคนในเรื่องครับ เพราะเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ไม่น่าเบื่อเลยก็คือการแสดงที่มีสเน่ห์และมีพลังมากจริงๆ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ในเรื่อง ที่แต่ละคนมีคาแร็คเตอร์ที่แตกต่างกันไปแต่กลับเคมีเข้ากันสุดๆเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน เป็นจุดสำคัญที่ทำให้อารมณ์ของหนังผ่อนคลายลงได้เสมอ
เมื่อถึงฉากของเด็กๆ พวกนี้ และอีกหนึ่งคาแร็คเตอร์ที่ขึ้นหิ้งเป็นหนึ่งในตัวละครโปรดในดวงใจของผมไปเรียบร้อยแล้วอย่าง ‘เอล'(Ele) หรือ เอลเลฟเว่น (Eleven)’
รับบทโดย Millie Bobby Brown นักแสดงสาวน้อยวัย 12 ปี ที่ทำหน้าที่เป็น เอล ได้อย่างดีเยี่ยม สายตาและท่าทางที่ใช้ในการแสดงทำให้ผมเชื่อในตัวละครนี้ได้ไม่ยาก เป็นตัวละครน่าค้นหาและเอาใจช่วยมากๆ คือสำหรับผมแล้ว เอล ถือว่าเป็นตัวละครที่น่าจดจำที่สุดของซีซั่น 1 เลยก็ว่าได้ครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่ตรึงผมให้อยู่กับซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างอยู่หมัดเลยก็คือ ‘เพลง’ ครับ ถ้าใครชอบฟังเพลงแนว Synthwave ที่จะได้กลิ่นอายเพลงอิเลคโทรป๊อบยุค 80’s รุ่นเก่าๆ หน่อยแบบผม ก็จะยิ่งประทับใจในซีรีส์เรื่องนี้ เพราะ Soundtrack ที่ใช้ทั้งเรื่องนั้น จะเป็นซาวด์ดนตรีที่ให้มู้ดความน่าพิศวง ความลึกลับน่าค้นหา และสเน่ห์บางอย่างที่ทำหน้าที่ร่วมกับ
งานภาพที่สวยงามได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศในหนังดูตื่นเต้นน่าติดตามตลอดเวลา และเข้าถึงได้กับทุกอามรมณ์ของหนัง และความเก๋ของเพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในวงกว้างถึงขนาดส่งให้ Kyle Dixon กับ Michael Stein สองสมาชิกจากวงดนตรีแนวอิเล็คทรอนิคส์สัญชาติอเมริกันชื่อ S U R V I V E แจ้งเกิดแบบสุดๆในฐานะผู้
สร้างสรรค์เพลงประกอบซีรีส์ Stanger Things และประสบความสำเร็จถึงขนาดที่ว่าได้รับการส่งชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา “Best Score Soundtrack” ในปีนี้กันเลยทีเดียว ถ้าใครอยากรู้ว่ามันเจ๋งยังไงละก็ วันนี้ผมนำเอามาฝากหนึ่งเพลงครับ ไปลองฟังกันได้เลย
เอาล่ะครับก่อนที่จะจากกันไป ผมขอพูดอีกนิดนึงว่าที่ผมเล่าไปนั้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดของซีรีส์เรื่องนี้แน่นอนครับ เพราะมันยังมีความน่าสนใจอีกมายมายที่ผมยังกล่าวถึงไม่หมด ไม่ว่าจะเป็นคอสตูมย้อนยุคที่จัดเต็ม โลเคชั่นที่สวยงาม งานสีและภาพ งาน CG ในเรื่อง Netflix ก็จัดเต็มสุดๆจนแทบจะเทียบชั้นภาพยนตร์ Blockbuster ได้เลยครับ
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีนะครับ จุดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีอยู่ตามสไตล์หนังแนวนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหากับด้านความสมเหตุสมผล ถือว่ายังพอเป็นสิ่งที่มองข้ามได้ ถ้าแทบกับความดีงามที่มี ซึ่งผมยังยืนยันคำเดียวคำเดิมว่า ไปดูเถอะครับ แล้วคุณจะรักซีรีส์เรื่องนี้…(ไม่มากก็น้อยล่ะน่า) !!
ประเภท
นิยายวิทยาศาสตร์
สยองขวัญ
ดรามา
สร้างโดย พี่น้องดัฟเฟอร์
แสดงนำ
วิโนนา ไรเดอร์
เดวิด ฮาร์เบอร์
ฟินน์ วูล์ฟฮาร์ด
มิลลี บ็อบบี บราวน์
เกเตน มาตาราซโซ
เคเล็บ แมคลาฟลิน
นาตาเลีย ไดเยอร์
ชาร์ลี ฮีตัน
คารา บูโอโน
แมตทิว โมไดน์
โนอาห์ ชแนปป์
เซดี ซิงก์
โจ เคียรี
เดเคอร์ มอนต์กอเมอรี
ฌอน แอสติน
พอล ไรเซอร์
มายา ฮอว์ก
ไปรอาห์ เฟอร์กูสัน
เบรตต์ เกลแมน
ผู้ประพันธ์
ไมเคิล สไตน์
ไคล์ ดิกสัน
ประเทศแหล่งกำเนิด สหรัฐ
ภาษาต้นฉบับ อังกฤษ
จำนวนฤดูกาล 4
จำนวนตอน 32