รีวิว Snowpiercer (2013)
บนขบวนรถไฟแห่งชีวิตที่สามารถเรียกได้ว่า Noah’s Ark ออกเดินทางด้วยเครื่องยนต์ศักดิ์สิทธิ์ (สัญลักษณ์ของวัตถุนิยม) ใครอาศัยอยู่หัวขบวนถือว่ามีอภิสิทธิ์ชน สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ตรงกันข้ามกับสัมภาระท้ายขบวนที่ได้ขึ้นมาฟรีๆ ยังจะเรียกร้องโน่นนั่นนี่ ถามหาความเสมอภาคเท่าเทียมในสังคม
ขบวนรถไฟ Snowpiercer ถูกสร้างขึ้นด้วยความตั้งใจกอบกู้มวลมนุษยชาติให้รอดพ้นภัยพิบัติ ออกเดินทางวิ่งบนราง เวียนวนไปเรื่อยๆรอบโลกไม่รู้จักจบสิ้น แต่เพียงแค่ไม่กี่ปีหลังการเริ่มต้น มุมมองความครุ่นคิดของผู้คนกลับเริ่มค่อยๆปรับแปรเปลี่ยน อันเนี่องจากหน้าที่การงาน สถานที่อยู่อาศัย และต้นทุนชาติกำเนิด (เริ่มต้นได้ขึ้นส่วนไหนของขบวนรถไฟ) นั่นเองก่อให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นทางสังคม
Snowpiercer (2013) คือภาพยนตร์ที่จำลองภาพรวมของระบอบทุนนิยม แจกแจงให้เห็นถึงลำดับขั้น ความแตกต่าง รวมไปถึงวิวัฒนาการทางสังคมปรับเปลี่ยนแปลงไป เพื่อสะท้อนเปรียบเทียบกับโลกยุคสมัยปัจจุบัน กำลังขับเคลื่อนด้วยวัตถุ เงินทอง อำนาจนิยม ใช้เป็นข้ออ้างลวงหลอกตา ว่านี่คือทิศทางเดียวเท่านั้นทำให้มนุษยชาติสามารถธำรงชีพอยู่ได้
คนที่ติดตามผลงานของผู้กำกับ Bong Joon-ho คงตระหนักรับรู้ได้ถึง 2 ความสนใจเด่นๆ ความแตกต่างทางชนชั้น (แบ่งแยกชัดเจนมากๆในประเทศเกาหลีใต้), ครอบครัวเท่านั้นคือสิ่งสำคัญสูงสุด (ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน) ซึ่ง Snowpiercer แม้ตระการตาไปด้วยฉาก Action และ Visual Effect แต่ผู้ชมก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้ทั้งสองประเด็นลายเซ็นต์ ผสมผสานคลุกเคล้ากับเรื่องราวได้อย่างลงตัว
ความสำเร็จของ Snowpiercer (2013) แม้ไม่ได้ทำเงินล้นหลามสักเท่าไหร่ แต่ถือว่าเป็นอีกเสาหลักไมล์แห่งวงการภาพยนตร์เอเชีย (และเกาหลีใต้) เพราะโปรดักชั่นถ่ายทำยังยุโรป (ไม่มีสตูดิโอไหนในเกาหลีใต้ ขนาดใหญ่เพียงพอจะสร้างขบวนรถไฟหลายสิบโบกี้) ทีมงานหลากหลายประเทศ และนักแสดงมากมายจากทั่วโลก สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, สก็อตแลนด์, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เกาหลีใต้ ฯลฯ
Bong Joon-ho (เกิดปี 1969) ผู้กำกับสร้างภาพยนตร์ สัญชาติเกาหลี เกิดที่ Daegu ปู่ทวดคือนักเขียนชื่อดัง บิดาประกอบอาชีพ Graphic Designer ตัวเขาลูกคนกลาง อยากที่จะเป็นผู้กำกับตั้งแต่มีโอกาสรับชม The Wages of Fear (1953) แต่ครอบครัวไม่อนุญาต เลยจำต้องเข้าเรียนคณะสังคมศาสตร์ Yonsei University แต่ก็เอาเวลาว่างไปดูหนัง ชื่นชอบโปรดปรานผลงานของผู้กำกับ Edward Yang, Hou Hsiao-hsien และ Shohei Imamura
เมื่อเรียนจบมหาลัยก็ไม่จำเป็นต้องง้อใครอีก ทำงานหาเงินเป็นติวเตอร์เพื่อเข้าศึกษาต่อ Korean Academy of Film Arts จากนั้นช่วงงานเบื้องหลัง จนกระทั่งได้เครดิตเขียนบท Seven Reasons Why Beer is Better Than a Lover (1996), ผู้ช่วยกำกับ Motel Cactus (1997), Phantom: The Submarine (1999), ผลงานภาพยนตร์เรื่องแรก Barking Dogs Never Bite (2000) และแจ้งเกิดโด่งดังกับ Memories of Murder (2001)
ประมาณปลายปี 2005 ผู้กำกับ Bong Joon-ho มีโอกาสได้พบเจอ Graphic Novel เรื่อง Le Transperceneige วางขายร้านหนังสือใกล้ๆ Hongik University ทีแรกตั้งใจว่าจะแค่อ่านผ่านๆ แต่กลับกลายเป็นยืนอ่านตรงนั้นจนจบทั้งซีรีย์
สถานการณ์โลกร้อนเข้าขั้นวิกฤต เมื่อปี 2014 ได้มีการร่วมมือพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปล่อยสารเคมีบางอย่างขึ้นสู่ชั้นอากาศ แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้อุณหภูมิของโลกเย็นลงถึงจุดเยือกแข็ง หลงเหลือเพียงผู้โดยสารบนขบวนรถไฟ Snowpiercer วิ่งวนรอบโลกด้วยเครื่องยนต์ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ทุกชีวิตยังสามารถธำรงอยู่ได้
เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
รีวิว Snowpiercer (2013)
เรื่องราวเริ่มต้น ปี 2031, Curtis Everett (รับบทโดย Chris Evans) หลักจากใช้ชีวิต 17 ปี ยังท้ายขบวนรถไฟ Snowpiercer เริ่มหมดความอดรนที่จะฝืนทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหง ไม่ได้รับความยุติธรรมจากผู้คนที่อยู่หัวขบวน ครุ่นคิดวางแผนยึดอำนาจ โดยนำเอาประสบการณ์ความผิดพลาดหลายๆครั้งก่อนหน้ามาเป็นบทเรียน เป้าหมายครานี้คือไปให้ถึงห้องเครื่องของ Wilford (รับบทโดย Ed Harris) วิศวกรผู้ก่อสร้างขบวนรถไฟสายนี้ แต่แรกเริ่มต้นจำต้องให้ความช่วยเหลือ Namgoong Minsoo (รับบทโดย Song Kang-ho) ผู้ออกแบบกลไกปิด-เปิดประตู ถือเป็นกุญแจสำคัญยิ่งในภารกิจนี้
Christopher Robert Evans (เกิดปี 1981) นักแสดงสัญชาติอเมริกัน เกิดที่ Boston, Massachusetts มารดาเป็นผู้กำกับละครเวทีอยู่ที่ Concord Youth Theater, ตัวของ Evans หลังเรียนจบมัธยม มุ่งสู่ New York City ร่ำเรียนการแสดงยัง Lee Strasberg Theatre and Film Institute ระหว่างนั้นรับงานถ่ายแบบ ตัวประกอบ Not Another Teen Movie (2001), รับบทนำครั้งแรก The Perfect Score (2004), เริ่มมีชื่อเสียงจากบทบาท Johnny Storm เรื่อง Fantastic Four (2005), Sunshine (2007), ได้รับการจดจำสูงสุด Steve Rogers ในแฟนไชร์ The Avengers
รับบท Curtis Everett หัวหน้ากลุ่มปฏิวัติที่ไม่ได้อยากก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำนัก เพราะอดีตเคยทำบางสิ่งอย่างเต็มไปด้วยความชั่วช้าสามาลย์ แต่ปัจจุบันเหมือนใครๆจะไม่ใคร่หวนระลึกจดจำมันสักเท่าไหร่ (ยกเว้นตัวเขาเอง) ซึ่งเป้าหมายของเขาในครานี้ คือเดินทางเพื่อไปให้ถึงห้องเครื่อง ควบคุมทั้งขบวนรถไฟ Snowpiercer เรียกร้องความเสมอภาคเท่าเทียมให้บังเกิดขึ้น
ผู้กำกับ Bong Joon-ho พอได้รับคำแนะนำชื่อของ Chris Evans คงจะจดจำภาพลักษณ์ Captain America ครุ่นคิดว่าคงเป็นชายร่างบึกบึนกำยำ แต่หลังจากได้รับชม Sunshine (2007) กับ Puncture (2011) ก็เริ่มปรับเปลี่ยนมุมมอง และเมื่อมีโอกาสพบปะสนทนา
ความรู้สึกหลังดู
ในยุคที่ภาพยนตร์นิยมถ่ายทำด้วยดิจิตอล แต่ผู้กำกับ Bong Joon-ho ยังคงยืนกรานจะใช้กล้องฟีล์ม 35mm แลปสี DeLuxe อัตราส่วน 1.85:1 ทั้งๆที่ก็ต้องสแกนฟีล์มเป็นดิจิตอลเพื่อนำไปทำ CGI อยู่ดี
ผู้ชมสามารถสัมผัสได้ถึงความอึดอัด ยัดเยียด ทุกช็อตต้องเห็นพื้น-ผนัง-หรือเพดาน ด้านใดด้านหนึ่งอยู่เสมอ ซึ่งช่วงแรกๆท้ายขบวน จักปกคลุมด้วยความมืดมิด จากนั้นค่อยๆมีวัฒนาการแสงสว่าง ตามด้วยโทนสีสัน สถาปัตยกรรมเลิศหรูหราขึ้นเรื่อยๆ
ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุกภาคไทย
ตอนจบของหนัง ผมมองขบวนรถไฟ Snowpiercer ได้เดินทางมาถึงอุดมคติสูงสุดของโลกทุนนิยม นั่นเองทำให้ธรรมชาติ สร้างกลไกการทำลายล้าง(ตนเอง)ขึ้นมา นั่นคือ Curtis Everett ซึ่งได้ปฏิวัติ ล้มล้างระบอบ และทำให้ขบวนรถไฟ Snowpiercer ถูกระเบิดทำลายล้าง
เมื่อนั้นเด็กชาย-สาว เทียบได้กับ Adam และ Eve จักก้าวออกมาสู่โลกใบใหม่ ที่แม้ขาวโพลนด้วยหิมะ แต่คือสัญลักษณ์แห่งโอกาส ความหวัง และความบริสุทธิ์ผุดผ่องใส ต่อจากนี้อะไรๆย่อมสามารถบังเกิดขึ้นได้ … ขนาดหมีจำศีล 17 ปี ยังอ้วนท้วนอิ่มพลีขนาดนี้!