รีวิว Silent Hill: Revelation 3D
Silent Hill ภาคแรกของหนังที่ออกฉายเมื่อปี 2006 เปิดตัวในสหรัฐที่ 20 ล้านเหรียญ ทำรายได้ไปทั่วโลกเพียง 97 ล้านเหรียญ จากทุนสร้าง 50 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าขาดทุน เพราะรายได้ต้องหารสองแบ่งให้โรงภาพยนตร์อีกครึ่งหนึ่ง หนังเองก็ได้รับคำวิจารณ์ด้านลบเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ชนะใจคอเกมได้ในระดับที่มีการเรียกร้องอยู่เนืองๆ ให้มีภาคต่อ
และด้วยการที่ 3D เป็นกระแส บริษัทหนังโอเพ่นโร้ดฟิล์มจึงเห็นว่าการสร้างภาคต่อในแบบ 3D น่าจะช่วยทำกำไรให้ได้ เมื่อเทียบกับการที่หนังมีฐานแฟนคลับจากเกมและหนังภาคที่แล้วอยู่บ้าง จึงได้ว่างจ้างให้ ไมเคิล เจ. บาสเซ็ทท์ มาเขียนบทและกำกับ แต่ก็ให้ทุนสร้างเพียง 20 ล้านเหรียญ เผื่อไว้ว่าหนังอาจทำรายได้ไม่ต่างจากภาคแรกเท่าไหร่ จะได้ไม่ขาดทุน
สิ่งที่น่าจะเรียกได้ว่าทำสำเร็จสำหรับหนัง Silent Hill: Revelation 3D ก็คือการพยายามสร้างฉาก ออกแบบอสุรกาย ได้ซื่อตรงต่อต้นฉบับเกม แต่เสียดายหนังดูจะทำสำเร็จแค่นั้น เพราะตลอดเวลาที่เราดูหนังเรื่องนี้ไม่ต่างจากนั่งดูคนเล่นเกมนี้อยู่
เราจึงไม่ได้รู้สึกมีส่วนร่วมกับหนังเหมือนได้ลงไปเล่นเกมเองเลย แต่ที่ทำให้เราสนใจได้เพราะภาพที่ปรากฏบนจอ แต่ขณะที่ภาพที่เรากำลังสนใจภาพที่เห็นอยู่นั้น ภาพก็หายไปเปลี่ยนไปสู่ด่านถัดไปแล้ว เพราะคนเล่นที่เล่นเกมนี้เหมือนเล่นมาบ่อยจนคล่อง
รู้ช่องทางในการเอาชนะดีมากจนผ่านแต่ละด่านได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วแบบที่ เรายังไม่ทันอิ่มหรือรู้สึกลุ้นเลยก็เอาชนะได้แล้ว แถมบางทียังมีตัวช่วยมาช่วยให้ผ่านเกมได้ง่ายขึ้นไปอีก ดีที่หนังมีความยาวเพียง 1 ชั่วโมง 29 นาที จึงจบเสียก่อนที่เราจะรู้สึกเบื่อ
หนังเปิดเรื่องด้วยการฝันร้ายของเฮทเธอร์ เมสัน (อเดเลด เคลเมนส์) เกี่ยวกับเมืองประหลาดที่เต็มไปด้วยความสยองและอสุรกาย แต่พ่อของเธอ (ฌอน บีน) ก็บอกแค่ว่ามันคงเป็นฝันร้ายทั่วไป เพื่อปกปิดเธอไม่ให้รู้ความจริงเกี่ยวกับเมืองชื่อไซเลนท์ ฮิลล์ ที่เธอฝันถึง
เพื่อป้องกันไม่ให้เธอไปยังเมืองนี้ เพราะมีกลุ่มภาคีชั่วร้ายที่หมายใช้เธอเป็นประโยชน์ในการให้กำเนิดซาตานขึ้นมาบนโลก แต่เมื่อพ่อของเธอถูกลักพาตัวไปยังเมืองที่ว่านี้ เธอก็ตัดสินใจเดินทางไปช่วยพ่อ
และได้รู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดที่แท้จริงของตัวเองว่าเธอเกิดขึ้นมาจากการแบ่งร่างของเด็กหญิงอเลสซ่าที่ได้ถูกภาคีชั่วร้ายในหนังจับเผาทั้งเป็น แต่เพราะเป็นเด็กที่มีพลังจิตรุนแรง จึงได้สร้างโลกที่เต็มไปด้วยหมอกควันมาขังคนในเมืองไว้ และสร้างอสุรกาย
และความสยดสยองต่างๆ ขึ้นมาทรมานคนในเมือง ภาคีชั่วร้ายจึงต้องหาทางล่อให้เฮทเธอร์มาจัดการกับอเลสซ่า และให้กำเนิดมารร้ายขึ้นมาบนโลก
เมื่อเฮทเธอร์ได้รู้กำเนิดที่แท้จริงของตัวเองก็ราวกลางเรื่องพอดี เหตุการณ์หลังจากนี้ก็คือเธอต้องไปยังที่ต่างๆ ตามเงื่อนงำที่ได้จากตัวละครอื่นในการหาทางช่วยพ่อของเธอออกมา ทำให้เหมือนเป็นการผจญภัยผ่านด่านต่างๆ ที่แต่ละด่านก็จะเจออสุรกายแต่ละแบบกันไป
และใช้วิธีเอาชนะแตกต่างกัน ซึ่งการเล่าเรื่องทั้งหมดเหมือนแค่ให้เราได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละด่าน และแต่ละด่านมีงานด้านภาพคล้ายกับเกมขนาดไหน แต่ไม่อาจทำให้เรารู้สึกร่วมไปกับเรื่องราวได้
อย่างที่เกริ่นไว้ เฮทเธอร์เอาชนะหรือรอดจากแต่ละด่านได้ง่ายดายอย่างที่เรายังไม่ทันลุ้น เธอก็รอดได้แล้ว ในบางด่านก็ยิ่งแย่หนัก เพราะเราไม่รู้ว่าเธอเอาชนะได้อย่างไร บางด่านก็ยิ่งแล้วใหญ่ เธอมีตัวช่วยมาสู้แทน ซึ่งไม่ใช่ตัวละครที่คนดูผูกพันอะไร เลยไม่ลุ้นสักนิด เสียดายงานออกแบบอสุรกายหลายตัวในหนังครับ ดูน่าเกรงขามและน่ากลัวเวลาเราเห็นเป็นภาพนิ่ง แต่ไม่มีบทบาทให้เรารู้สึกกลัว ชวนขนลุก หรือทำให้เราตกใจได้เลย เหมือนมาวิ่งไปมาผ่านฉากเท่านั้น
เงื่อนงำต่างๆ ในหนังก็ควรให้เรารู้สึกคาดไม่ถึง หรืออึ้ง เวลาที่มีการเฉลยออกมาเหมือนเวลาเราดูหนังนักสืบที่สนุกๆสักเรื่อง แต่การเฉลยเงื่อนงำในหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้แห้งแล้งมาก ให้ตัวละครใหม่ที่เฮทเธอร์พบระหว่างทางมาบอกเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นโดยที่เธอไม่ต้องปะติดปะต่อหรือไขปริศนาอะไรเลย และหนังก็ไม่ได้นำเสนอเลยว่าเธอรู้สึกอะไรบ้างเมื่อได้รู้ความจริงเหล่านั้น
เมื่อมีการประกาศรายชื่อนักแสดงที่จะมาสมทบ อเดเลด เคลเมนส์ ว่ามีตั้งแต่ ฌอน บีน, แครี่-แอน มอส, มัลคอล์ม แม็คโดเวลล์ และราดา มิทเชล ก็เหมือนชวนให้รู้สึกว่าเป็นโครงการหนังที่น่าสนใจ ที่ได้คัดเลือกนักแสดงคุณภาพหลายคนมาช่วยสร้างความเข้มข้น และเราน่าจะได้เห็นอะไรดีๆ จากนักแสดงเหล่านี้ แต่หนังให้โอกาสแต่ละคนได้ออกกันคนละไม่ 1-2 ฉาก และบทหนังก็ไม่ได้ให้นักแสดงเหล่านี้ได้แสดงศักยภาพอะไรเลย
รีวิว Silent Hill: Revelation 3D
การสร้างหนังสักเรื่อง หากจะอยู่ในความจดจำของคนดูได้ ภาพไม่ได้ช่วยได้มากเท่าอารมณ์ครับ สิ่งที่จะตามคนดูออกไปได้มากที่สุดคือ อารมณ์และความรู้สึกแล้วอารมณ์และความ รู้สึกก็จะพาให้นึกถึงภาพตอนนั้น แต่ถ้าภาพนั้นขาดอารมณ์ เมื่อผ่านไปสักพักก็จะถูกลืม ซึ่ง Silent Hill: Revelation 3D ที่ขาดอารมณ์นี้ก็แทบจะทำให้ผมจำอะไรไม่ได้เลยหลังจากออกจากโรงมาแล้ว นอกจากประโยคที่ตัวละครของฌอน บีน พูดในหนังว่า “อย่าไปที่ไซเลนท์ฮิลล์”
ก็เพราะว่าภาคแรกเป็นหนังจากเกมส์ที่ได้รับคำวิจารณ์ไปในทางที่ดีจากคอเกมส์ และ คนดูทั่วไป แถมยังทำให้ตัวหนังนั่นเก็บรายรับทั่วโลกไปเกือบ 100 ล้านเหรียญอีกด้วย เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากว่า หุบเขา เมืองห่าผี ยังจะขอมาต่ออีกภาคนึง โดยในคราวนี้ก็ยังจะมาในรูปแบบของ 3D ทะลุจอกันอีกด้วย
หลายปีที่ผ่านมา เฮทเธอร์ (อเดเลด เคลเมนส์) กับพ่อของเธอ (ฌอน บีน) ต้องพากันหนีปีศาจร้าย และต้องฉลาดกว่าพลังอำนาจมืดที่เธอไม่เข้าใจอยู่หนึ่งก้าวเสมอ แต่เมื่อวันที่อายุ 18 ปี ของเธอมาถึง ฝันร้ายอันสยดสยองได้เกิดขึ้นกับเธอ เมื่อการหายตัวไปของพ่อ ทำให้เธอได้ค้นพบว่าเธอไม่ใช่คนที่เธอคิดว่าเธอเป็นอยู่ เรื่องราวค่อย ๆเผยว่าเธอได้ถลำลึกสู่โลกของมารร้าย และต้องหาทางหนีออกมาก่อนที่เธอจะติดอยู่นรกขนาดย่อมๆที่เรียกว่า ไซเลนท์ ฮิลล์ ที่เต็มไปด้วยเหล่า สัตว์ประหลาดสยอง และ ลัทธิแปลกประหลาด ที่เธอต้องรีบหนีออกมาให้ทัน พร้อมทั้งยังต้องช่วยเหลือพ่อและแม่ของเธอที่ติดอยู่ในหุบเขาเงียบสงบด้วย
ความรู้สึกหลังดู
Silent Hill : Revelation ได้เปลี่ยนตัวผู้กำกับจากภาคแรกอย่าง คริสโตเฟอร์ แกนส์ มาเป็น ไมเคิล เจ บาสเซ็ท ที่คนไทยเราคงรู้จักกันจากหนัง ตัดหัวผี เรื่อง Solomon Kane ที่เคยได้เข้าฉายไปเมื่อ 2-3 ปีก่อน โดยก่อนอื่นผมต้องขอบอกเลยว่า ตัวผมไม่เคยได้เล่นเกมส์ Silent Hill มาก่อน เพราะฉะนั้นตัวผมจึงไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับตัวเกมส์ได้ แถมหนำซ้ำยังเป็นคนที่ค่อนข้าง ไม่ค่อยชอบ ตัวหนังภาคแรกอยู่มากพอสมควร เนื่องจากความน่าเบื่อ และ เรื่องราวที่หลวมๆของโลกคู่ขนาน แต่ก็ดูเหมือนว่าในภาค 2 การเปลี่ยนผู้กำกับจะกลายเป็นสิ่งที่ดีเหมือนกัน เพราะโดยส่วนตัวผมกลับเป็นคนที่ชอบภาค 2 มากกว่าภาคแรกอยู่หลายเท่า และสิ่งที่ถือได้ว่าขาดไม่ได้เลยสำหรับ Silent Hill : Revelation คงหนีไม่พ้นระบบ 3D ที่สามารถทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบและสวยงาม
พร้อมทั้งมันยังเต็มไปด้วยฉากทะลุจอ ที่หนังหยิบจับเอาสิ่งของต่างๆกระแทกใส่ตาคนดู ที่เรียกได้ว่า ใครชอบ 3D ของหนังชุด Final Destination 4 และ 5 ก็น่าจะถูกใจกันแน่นอนกับของกระแทกตาชุดใหญ่กว่านั่นใน Silent Hill : Revelation แถมดูเหมือนการที่ผู้กำกับ ไมเคิล เจ บาสเซ็ท จะสามารถทำหนังออกมาได้ถูกจุด นั่นคือการให้ตัวละคร นางเอก เปรียบเสมือนเป็นหนึ่งในตัวละครของเกมส์ ที่จะต้องเดินผ่านเพื่อไปเจอกับสัตว์ประหลาดตัวต่อไปเรื่อยๆ โดยถึงแม้ว่าด้านบทจะยังอ่อนปวกเปียกเช่นเคย แต่ด้านของตัวเรื่อง และ ความบันเทิง ผมกลับขอยกให้ Silent Hill ในภาคนี้เป็นหนังที่สร้างความบันเทิงได้ดีกว่าภาคแรก
โดยสิ่งที่อยู่ในความสำเร็จดังกล่าว คงหนีไม่พ้นการที่หนังได้จับยัดเอาสัตวประหลาดจากเกมส์มาหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น พีรามิด เฮดด์ หรือแม้แต่ แมนน์ควินท์
ที่สามารถออกมาสร้างสีสันให้กับขาจร ขาประจำ ได้ค่อนข้างสนุก โดยเฉพาะในด้านของ ไอเดียการออกแบบ ที่ต้องขอชื่นชมที่ดึงเอาออกมาจากเกมส์ได้โดยที่โครงสร้าง และ ส่วนประกรอบ ของตัวประหลาดเหล่านี้ ออกมาได้อย่างมีลูกเล่นมากมาย และดูไม่แปลกถึงแม้จะดึงเอาออกมาจากเกมส์ก็ตาม
เพราะฉะนั้นถ้าหากให้ผมตีความ Silent Hill : Revelation ผมจึงถือว่าเป็นหนังภาคต่อที่สามารถสร้างความบันเทิงให้กับคนดูได้ดีกว่าภาคแรก
เพราะตัวหนังเต็มไปด้วย ฉากแอ็คชั่น และ ฉากสยองขวัญ ที่อัดแน่นเข้ามาทั้งเรื่องจนไม่มีเบื่อ
แต่สิ่งที่ผมคิดว่ายังคงเป็นข้อเสียของหนังชุดนี้ยังคงเป็นเรื่องของ บทหนัง อยู่เช่นเคยแหละนะ
เพราะถ้าหากใครคิดว่าภาคแรกทำบทออกมาน่าผิดหวังแล้ว ผมขอบอกเลยว่าภาคนี้แย่กว่าอีกหลายเท่า เพราะตัวบทในภาคนี้ ตัวหนังกลับทำออกมาแบบ มาเร็วไปเร็ว
โดยการวางตัวเรื่องให้มีความง่ายดาย เพื่อจะรีบให้นางเอกไปเจอกับเหล่าตัวประหลาดเร็วๆ แต่กลับขาดเรื่องราวของ ความซับซ้อน แบบที่ภาคแรกเคยทำไว้
แถมหนำซ้ำหนังยังไม่มีการอธิบายเกี่ยวกับเรื่องราวของ โลกแห่งความจริง และ ไซเลนท์ ฮิลล์ ออกมาได้อย่างชัดเจน หรือแม้แต่เรื่องของ ภาคีลัทธิ
ที่ตัวหนังใช้วิธีแถเอาเพื่อให้ตัวหนังเชื่อมต่อกับภาคแรก ก็อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คอเกมส์ไม่ถูกใจกัน แต่ถ้าใครเป็นขาจร ภาคนี้ก็ถือว่าทำออกมาดูเพลินดีนะ
โดยสรุปแล้วสำหรับผม Silent Hill : Revelation จึงถือว่าเป็นหนังที่ทำออกมาดีกว่าภาคแรก ด้วยการที่หนังเต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น ปนสยอง ขายเรื่องราว
ไอเดียตัวประหลาด จึงทำให้หนังดูเพลินและไม่น่าเบื่อเหมือนภาคแรก แต่ยังไงซะในด้านของ ตัวบท ของหนังก็ยังคงเป็นข้อเสีย ที่ค่อนข้างมั่วและแถเช่นเคยหละ