รีวิว Scream (1996) หวีดสุดขีด
นี่คือพื้นฐานเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับสูตรหนังสยองขวัญทั้งหลายแหล่ที่ซึ่งล้วนหลีกหนีข้อดังกล่าวทุกใดข้อหนึ่งไม่ได้หมด เว้นแต่ว่านั่นจะเป็นมากกว่าหนังสยองขวัญเพี้ยวๆ อย่างข้อแรกที่ว่าเรื่องเซ็กซ์อันเกิดจากความกระหายของช่วงวัย โดยเฉพาะวัยรุ่นอันแสนอยากลองพิสูจน์เรื่องเพศจนเป็นธรรมเนียบที่ต้องพบประจำแทบทุกๆเรื่องที่อย่างน้อยจะหา
เวลามีอะไรกันได้ตลอดแม้สถานที่จะไม่อำนวยเลยก็ตาม ซึ่งเป็นจังหวะของผู้ชมที่อยากดูบ้างล่ะมีของดีโชว์บางล่ะ แต่เรื่องแบบนี้ดันชอบกันจริงเพราะมันมีอารมณ์เป็นภูมิหลังช่วยเสริม จึงไม่แปลกอะไรเท่าไหร่ว่าหนังสยองจำเป็นต้องมีมากกว่าการฆ่าได้ซึ่งเลือดกับศพ ดูหนังออนไลน์ฟรี 2022
เนื่องจากเป็นการเจาะเข้ากลุ่มวัยรุ่นให้ออกมาเร้าใจคล้ายกับต้องสยองแล้วต้องกระตุ้นด้วย ดังนั้นหนังสยองขวัญจึงมีผลพวงเรื่องเพศอยู่ทั้งการแต่งกาย และอิทธิพลอีกหลายอย่างอันไม่จำเป็นที่นำพามาสู่เรื่องเซ็กซ์ได้ เช่นกับการหาความสุขใส่ตัวแต่หารู้ไม่ว่าจะเป็นจุดจบของชีวิตได้เช่นกันเมื่อนางเอกที่รอดมักจะเป็นสาวพรหมจรรย์แสดงถึงความ
บริสุทธิ์ผิดกับตัวละครอื่นๆที่ตายเพราะมีเซ็กซ์กันแล้ว เป็นอีกหนึ่งมุมมองแสดงถึงการกระทำแห่งบาป หรือความสะอาดอันได้รับการปนเปื้อนจนต้องชำระล้างด้วยการกำจัด ซึ่งนั่นแหละเป็นมุมสะท้อนวิถีชีวิตของชาวตะวันตกที่มองว่าเป็นเรื่องปกติทั้งที่น่าจะห้ามๆเอาไว้บ้าง ทั้งนี้ยังมีเหตุผลอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับเซ็กซ์ว่าทำไมต้องเพราะเช่นนี้อย่าง
เรื่อง Friday the 13th ที่กล่าวกันว่ามีสูตรตายตัวเรื่องตัวละครมีเซ็กซ์แล้วพบอันเป็นไปบ่อยมาก แต่หารู้ไม่ว่าเมื่อมองความเข้าใจในจุดนี้ตั้งแต่ภาคแรกจะรับรู้ว่านี่คือปมประเด็นอย่างหนึ่งที่สะท้อนชีวิตวัยรุ่นออกมาว่าเห็นแก่ตัวมากแค่ไหน ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุก
ในขณะที่ข้ออื่นๆไม่ต่างอะไรกันกับข้อแรกเรื่องบาปโดยเฉพาะข้อสองที่ว่าเรื่องสิ่งเสพติดอันเป็นเรื่องที่ผิดไปตามระเบียบ เมื่อเราติดอบายมุขทั้งหลายเรานี่เท่ากับได้ฆ่าตัวตายไปแล้วส่วนหนึ่ง ฉะนั้นไม่แปลกใจถ้าพวกนี้จะตายเพราะความกระหายหรืออาการเคลิ้มของตัวเอง ส่วนข้อสามและข้อสี่เสมือนการแสแสร้งว่าตัวเองคือคนที่ไว้ใจกับไว้ใจไม่ได้
เมื่อบอกว่าจะกลับมาเป็นการเตือนให้ผู้ชมรู้แล้วว่าจะกลับมาทำไมในเมื่อกำลังไปหาความตาย แล้วปล่อยให้เป็นปริศนาต่อไปแบบลับๆทั้งที่ทุกคนล้วนมีสิทธิ์เป็นผู้ต้องสงสัยได้
ทั้งนั้นแต่เรื่องแบบนี้คิดกันน้อยมากยิ่งกับทุกคนที่รู้จักกันดี ยิ่งสถานการณ์เลวร้ายยิ่งวุ่นวายยิ่งทำให้ฆาตกรที่หลบซ่อนในคราบเพื่อนยิ่งได้ใจแต่เราก็คิดน้อยจนเรียกว่าแทบไม่
เคยคิดเลยว่าคนที่น่าจะใช่มีตัวจริงมากกว่าหนึ่งคน ทำไม? ก็ทุกคนล้วนเป็นผู้ต้องสงสัย จะมีจริงเพียงหนึ่งหรือสองอาจสามหรือจะทุกคนที่ร่วมกันหมดเพื่อจัดการคนๆเดียว เราไม่รู้หรอกจนกว่าจะเห็นหน้าของคนที่อยู่ภายใต้โฉมของใบหน้าฆาตกรรายนั้น ทว่าเราเริ่มรู้ตัวตอนที่จะตายซะมากกว่า ให้ตายเถอะใครคือคนที่ฆ่า อะไรคือแรงจูงใจต้องฆ่าด้วย
เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
รีวิว Scream (1996) หวีดสุดขีด
รู้สึกยังไงกับการเปิดตัว 12 นาทีแรกที่เล่นโดยนักแสดง Drew Barrymore ทั้งๆที่ควรเป็นดารานำมากกว่าจะมาเล่นสมทบในบทเคซี่ย์ เบคเกอร์ บางคนถึงกับเหวอได้เมื่อรู้ๆกันอยู่ว่าหลังพ้นช่วงเวลานี้ไปเราจะพบกับนักแสดงแปลกหน้ามากตาที่ทั้งล้วนเคยเห็นและไม่เคยพบมาก่อน นี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่กำลังบ่งบอกถึงเป็นนัยๆแล้วว่าถ้ารู้ว่ามีดาราดังๆระดับแนวหน้ามาเล่นเป็นตัวหลักผู้ชมคงเดาได้อยู่หรอกว่าใครสมควรจะรอดมากกว่ากัน
และทั้งนี้การปรากฎตัวของนักแสดงอื่นๆทำให้ผู้ชมครุ่นคิดแล้วว่าจะไว้ใจได้มากแค่ไหน รวมถึงความลังเลของเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่าควรเป็นไปในทิศทางใดบ้าง ซึ่งเรื่องอะไรจะเผยไต๋ได้ง่ายขนาดนั้น ช่วงแรกของหนังคือการเกริ่นโปรยความน่ากลัวผ่านฆาตกรหน้าผีหรือโกสต์เฟซที่เราจะเห็นวิธีโรยความน่ากลัวลงไปทีละเล็กละน้อยจนค่อยตระหนักในความเป็นไปได้ วิธีการนี้คือการโทรศัพท์หาเจ้าทุกข์ที่เป็นเหยื่อพร้อมรับสายก่อนจะถามถึงว่าชอบ
ผู้กำกับ Wes Craven สร้างหนังสยองขวัญมาหลายเรื่องจนยามที่ดีคือดีจริงๆยามเลวร้ายดูจะแย่ไปเลย เป็นผู้กำกับที่ขาขึ้นจะขึ้นสู่เป้าหมายได้อย่างสวยงามแต่พอไม่ถึงหนทางที่วางไว้สภาพไม่ต่างกับคนตกเหว เฉกเช่นหนังสร้างชื่อ The Hills Have Eyes (1977) ที่ทำให้คอหนังสยองขวัญรู้สึกปลาบปลื้มในผลงานชิ้นนี้ก่อนจะกลายเป็นภาคต่อใน The Hills Have Eyes Part II (1984) ที่ยังคงกำกับเองเหมือนเดิมแต่กลายสภาพของหนังจนไม่น่าใช่อย่างเดิมอีกต่อไป ทั้งความสนุกความสยองกลายเป็นมนุษย์ยุคหินในชุดไวกิ้งตามล่าเหยื่อ
ถ้าจะที่ชอบจริงๆเห็นจะเป็น A Nightmare on Elm Street (1984) อันแสนแหวกแนวธรรมเนียมหนังสยองขวัญตามเค้าโครงแบบปกติเพราะเอกลักษณ์คือความฝันที่ส่งผ่านจากความรู้สึก เมื่อเรากลัวย่อมถึงคราวได้ แต่ถ้าเราสู้เราอาจรอดได้ นี่เป็นหนังสยองขวัญยอดฮิตอีกเรื่องที่ตัวเขาได้สร้างออกได้อย่างลงตัวจนมีภาคต่อยาวเป็นหางว่าวที่ถึงแม้จะมีส่วนสร้างแค่ 2 ภาค( New Nightmare (1994) )จากทั้งหมด 7 ภาคก็ตามที แต่สิ่งที่เรามองเห็นได้จาก A Nightmare on Elm Street
คือกฎของหนังสยองขวัญที่ถูกพัฒนายกระดับให้กับเหล่าตัวละครมากขึ้นเมื่อได้เผชิญกับความฝันโดยการนำจินตนาการเข้ามาช่วย รวมถึงการกำจัดเฟรดดี้ครูเกอร์ด้วยการดึงตัวตนจากความฝันมาสู่โลกแห่งความจริง ซึ่งเท่ากับว่าจากเจ้าผีที่มีอำนาจจัดการได้ทุกอย่างจะกลายเป็นนักฆ่าฆาตกรธรรมดาๆเมื่อออกจากฝัน และสามารถจัดการเจ้าผีร้ายนี่ได้
โดยง่ายมากกับโลกแห่งความจริงถ้าคุณมีแผนจัดการเอาไว้ก่อนแล้ว และที่ว่านี่เองมีส่วนคล้ายๆกับ Scream ตรงที่ถ้าไร้สติมักจะวิ่งหนีกลัวตาย แต่ถ้ามีสติพอระลึกได้ว่าตัวเองต้องทำอะไรมากกว่าวิ่งหนีอย่างเดียวจะรู้ทันทีว่าที่กลัวนั้นแค่ตกใจเพราะหน้ากากกับคำพูดพาผวาเท่านั้นเอง จริงๆเราอัดมันได้เลยถ้าไม่ติดเรื่องมีดคมๆที่มันถืออยู่หรอกนะ
ความรู้สึกหลังดู
สำหรับผู้กำกับ Wes Craven อาจเป็นที่น่าจดจำกับเรื่อง Scream ในความแปลกใหม่ แต่ขอให้ระลึกถึงคนเขียนบทด้วยว่าคนนี้เจ๋งใช่ย่อยกับ Kevin Williamson ในฝีมือการเขียนบทครั้งแรกที่เวลาต่อมาได้เขียนบทหนังสยองขวัญคุ้นหูอย่าง I Know What You Did Last Summer (1997) โดยเริ่มแรกเขาได้วางแผนเอาไว้แต่ต้นแล้วว่าจะทำ
Scream เป็นไตรภาค แต่ด้วยที่ยังไม่มีใครซื้อบทไปทำหนังจึงได้แต่รอโอกาสภาคแรกที่น่าจะดัง จนกระทั่งได้ Miramax ซื้อสิทธิ์ไปในที่สุด และพร้อมเซ็นต์สัญญาว่าจะเขียนบทภาคสองกับสามให้อย่างที่ตัวเองคิดเอาไว้ เมื่อได้บทมาก็พร้อมจะสร้างหนังขึ้นมาจริงๆแต่ติดเรื่องของผู้กำกับที่ก่อนหน้านั้นได้วางตัวเลือกคร่าวๆเอาไว้มี Robert
Rodriguez,Danny Boyle,George A. Romero และ Sam Raimi ทว่าบทหนังดูจะสุ่มเสี่ยงเกินหน้าเกินตาไปความแปลกใหม่จนบางคนคิดว่าเป็นหนังตลกมากกว่าจะดูสยองขวัญอย่างที่คิดเอาไว้ ซึ่งตัวเลือกทั้งหมดที่วางเอาไว้ไม่ได้ใช้จน Wes Craven ไปคุยกับ Kevin Williamson อย่างถูกคอ
จนท้ายที่สุดก็ได้ผู้กำกับที่เข้าใจในแก่นหลักของบทหนังเรื่องนี้แล้วว่าไม่ใช่หนังตลกเพียงแค่นี่เป็นการเสียดสีธรรมเนียมหนังสยองขวัญที่มีแต่คนที่เข้าใจจริงๆเท่านั้นจึงรู้สึกว่ามันไม่ธรรมดา และเกินคำว่าตลกร้ายเอาขำขันเท่านั้น ซึ่งนั่นก็เป็นสไตล์ถนัดของ Wes Craven เนื่องจากผลพวงมาจาก A Nightmare on Elm Street ภาคแรกที่ทำให้โด่งดัง
จนมีภาคต่อมากผูกำกับมาสร้างเรื่อยๆจนเริ่มๆมีความเละเทะไปตามระเบียบ ทำให้เจ้าของต้นตำหรับต้องลงมาปิดภาคต่อใน New Nightmare ที่มีเนื้อเรื่องหนังซ้อนหนัง ทั้งยังเป็นการแสดงถึงคุณค่าในภาคก่อนๆให้ออกมาดูมีความหมายมากขึ้น กระนั้นการปิดจบของเรื่องถ้าสังเกตดีๆไม่ต่างอะไรกับการแซวหนังของตัวเองที่อยู่ในคราบโลกความจริง
โลกแห่งหนัง และความฝันมาปะปนกันอย่างครบเครื่อง เช่นเดียวกับ Scream ที่เกิดมาเพื่อเป็นลูกผสมของหนังสยองขวัญยกชุดที่นำทฤษฎีความน่าจะเป็นมายำจนฉีกกรอบของตัวเอง ไม่แปลกใจถ้าเมื่อก่อนจะมีอีกชื่อหนึ่งที่ไม่ได้ใช้ว่า Scary Movie คุ้นชื่อกันไหมล่ะ ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุกภาคไทย
หนังสยองขวัญเรื่องใดแล้วหาช่องทางคุยคล้ายกำลังแอบมองอยู่ส่วนใดส่วนหนึ่งจากในบ้านด้วยอารมณ์ที่อยากฆ่า ทั้งยังชวนเล่นเกมส์ถามตอบเกี่ยวกับหนังสยองขวัญทำให้กลัวจนสติแทบแตกจะว่าหนังเปิดได้ดีกับสไตล์ของตัวเองได้น่าลุ้นตื่นเต้นดีพอตัวทั้งยังแซวหนังสยองขวัญไปในตัวประหนึ่งเป็นเรื่องต้องเจอมากกว่าจะบังคับให้เจออย่างอย่าง
เช่นทำไมเหยื่อต้องวิ่งหนีฆาตกรขึ้นบันได ทำไมไม่ออกทางประตู หรือทำไมตำรวจต้องมาหลังจากเรื่องราวคลี่คลายเสร็จหมดแล้วอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งอันที่จริงสถานการณ์เช่นนี้กับหนังสยองบางเรื่องอาจทำไปเพื่อการกระทำแบบเบาปัญญาเอาสะใจกันเป็นว่าเล่นมากกว่า ในขณะที่ Scream มีช่องทางอธิบายเหตุผลเตรียมพร้อมเอาไว้อย่างดี ทั้งยังนำสูตรหนังสยองมาตีค่าใหม่ด้วยการทำซ้ำแต่ฟังดูสมเหตุสมผลกับฉีกกฎเดิมๆที่ไร้สาระมาฟังให้ดูจริงมากกว่าหลอกหรือบังเอิญไปเอง
ซิดนีย์ สาวแกร่งที่แม่ของเธอเพิ่งเสียชีวิต จนทำให้สภาพจิตใจเธอยังไม่ค่อยดีนัก แต่เศร้าได้ไม่ทันไร เธอก็ยังต้องเผชิญกับเรื่องราวที่เลวร้ายกว่านั้นอีก เมื่อบรรดาคนรอบๆ ตัวเธอ ล้วนกลายเป็นเหยื่อของฆาตกรโรคจิตที่สวมหน้ากาก Ghostface สุดหลอน และออกฆ่าคนเป็นว่าเล่น แต่ความยากของเธอก็คือในขณะที่ต้องเอาตัวรอด ก็ต้องคอยหาไปด้วยว่าใครกันแน่ที่เป็นคนสวมหน้ากากไล่ฆ่าคนรอบตัวเธอแบบนี้ เพราะมันอาจจะเป็นคนใกล้ตัวเธอมากกว่าที่คิดก็ได้
สำหรับ Scream จะเหมาะกับคนที่ชอบดูหนังแนว Slasher หรือฆาตกรโรคจิตไล่เชือดมาอย่างแน่นอน ในแง่ของความที่มันล้อเลียนขนบต่างๆ ของหนังประเภทนั้น กับตัวละครที่เหมือนจะรู้ทันฆาตกร (แต่ความจริงคือไม่) ก็เลยทำให้มันยกระดับจากหนังประเภทนั้นมาให้ตัวเองดูฉลาดขึ้นไปน้อย แต่ทั้งนี้ในแง่ความโหดมันก็ไม่ได้ดรอปไปเลย เพราะเจ้าฆาตกร Ghostface นี้ก็ถูกดีไซน์ออกมาได้โหดถึงใจ แถมลีลาการคุยโทรศัพท์ของมัน พร้อมกับหน้ากากชิ้นนี้ก็ทำให้มันกลายเป็นอีก Iconic ของโลกภาพยนตร์ที่น่าจดจำอีกเรื่อง จนลากหนัง Slasher ให้มาเกิดใหม่ได้เพียบอย่าง I know what you did last summer หรือ urban legend ที่พยายามจะปิดบังฆาตกรที่เป็นคนรอบตัวแบบนี้เอาไว้เช่นกัน
หมวดหมู่ : Horror Mystery
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Wes Craven
ความยาว : 1 ชั่วโมง 51 นาที
นักแสดงนำ : Neve Campbell, Courteney Cox, David Arquette
หนังเชือดที่เติมความแปลกใหม่ให้กับตำนานซ้ำซากอย่างพวก Jason หรือ Freddy ในช่วงเวลานั้นที่แม้จะออกมาหลายต่อหลายภาค แต่ก็เริ่มวนลูปอยู่กับการไล่ฆ่าแบบเดิมๆ จนทำให้ผู้กำกับอย่าง Wes Craven ก็นึกทำหนังสไตล์ไล่เชือดขึ้นมาใหม่ ที่นอกจากจะไม่ซ้ำกับใคร (ในยุคนั้น) ด้วยการล้อขนบธรรมเนียมของหนังแนวๆ นี้แบบสุดฤทธิ์ การสร้างตัวละครที่เหมือนจะรู้ทันหนังสยองไปเกือบทุกอย่าง (แต่ก็ยังไม่พ้นโดนเชือด 555+) ก็สร้างความสนุก และอารมณ์ขันแบบแปลกๆ ที่ไม่ควรมาอยู่ในหนังสไตล์นี้ได้เป็นอย่างดี
สิ่งที่ทำให้ Scream แตกต่างจากหนังสยองขวัญไล่เชือดเรื่องอื่นๆ ในยุคนั้นก็คือ การเอาฆาตกรมาซ่อนภายใต้หน้ากาก โดยที่ตัวละครกับคนดูเองก็ไม่รู้ว่าคนร้ายเป็นใคร และที่สำคัญหนังก็ยังสร้างความน่าสงสัยให้กับตัวละครแต่ละตัวในเรื่องที่ยังคงมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ลุ้นกันเอาเองว่า ใครกันแน่ที่เป็นฆาตกร เพราะดูแล้วแต่ละคนรอบตัวนางเอกนั้นก็ดูมีความเป็นไปได้เสียเหลือเกิน และที่สำคัญเบาะแสของหนังก็ดูจะโยงเป็นใครก็ได้ แค่เพียงใส่หน้ากาก Ghostface นี้ลงไปเท่านั้น ซึ่งบทสรุปก็นับว่าทำออกมาได้ดีมากๆ สำหรับยุคนั้นเลย
ส่วนที่ทำให้หลายคนชอบหนังเรื่องนี้อีกอย่างคงหนีไม่พ้นคาแรคเตอร์ของ นางเอก ซิดนีย์ ที่รับบทโดย Neve Campbell ที่ทำให้เธอกลายมาเป็นสาวแกร่งตัวยืนของเรื่องที่พร้อมบวกในทุกสถานการณ์ อีกทั้งฆาตกรในเรื่องนี้มันก็ดูเป็นคนธรรมดามาสวมหน้ากาก จนพร้อมโดนอัด โดนยำ และบาดเจ็บได้ ให้คนมีลุ้นให้สู้พอไหว ต่างจากพวกขี้โกงทั้ง
หลายในหนังเรื่องอื่นๆ แนวๆ นี้ที่ฆ่าเท่าไรมันก็ยังไม่ตายสักที ด้วยปฏิภาณไหวพริบในแบบหญิงแกร่ง ก็ทำให้เราอยากเชียร์ให้ตัวละครนี้รอดมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ในแนวเดียวกันได้อย่างน่าสนใจ จนกลายเป็น Iconic ของหนังชุดนี้ไปแล้ว