รีวิว Fantastic Four Reboot (2015)
สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง Fantastic Four Reboot (2015) สี่พลังคนกายสิทธิ์ 4 โดยเรื่องราวของเด็กหนุ่มที่เติบโตขึ้นทั้งสี่คนที่กลายเป็นยอดมนุษย์ หลังจากที่พวกเขาเข้าร่วมโปรเจคงานวิจัยแล้วทดลองการเคลื่อนที่ไปยังมิติอื่นและเป็นโลกที่กำลังจะดับสลาย แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับคือพลังที่จะช่วยเหลือโลกเอาไว้และช่วยโลกจากอดีตเพื่อนที่กลายเป็นศัตรู
หลังจากก่อนหน้านี้ในปี 2005 และปี 2007 ได้เคยถูกสร้างเป็นหนังภาคต่อมาแล้วถึง 2 ภาคด้วยกัน แต่หลังจากห่างหายไป 7-8 ปี กลับยกเครื่องใหม่และปล่อยมาอีกเวอร์ชั่นแทนที่จะสานเรื่องต่อจากเดิมซะอย่างนั้น อีกทั้งยังมีข่าวออกมาด้วยว่าเนื้อหาของเรื่องจะไม่อิงกับฉบับคอมมิคของมาร์เวล ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนตัวนักแสดงนำทั้งหมด
รวมไปถึงตัวผู้กำกับที่ในเวอร์ชั่น 2015 นี้ ได้ จอช แทงค์ (Josh Trank) มานั่งแท่นแทนที่ ทิม สตอรี่ (Tim Story) แต่ก็เชื่อว่าไม่น่าจะทำให้แฟนหนังผิดหวังอย่างแน่นอน
หลังจากเคยมีภาคปฐมบทในปี 2005 ก่อนจะตามมาด้วยภาคสองในปี 2007 เหล่าซูเปอร์ฮีโร่แพ็คสี่คนก็หายหน้าหายตาไปสักพักใหญ่ ก่อนที่เราจะได้รับรู้ข่าวคราวว่า พวกเขาจะกลับมากันอีกครั้งด้วยพลพรรคกลุ่มใหม่ ได้เวลาแห่งการรีบูทอีกครั้งในปี 2015 การกลับมาของ ‘Fantastic Four 2015’ เหล่าฮีโร่ที่มีพลังพิเศษกันคนละแบบ ย้อนไปสู่วัยรุ่นที่มีความหลังมากกว่าที่เคยรู้กัน
หนังเล่าย้อนไปถึงวัยเด็กของเพื่อนรักสองคน ริชาร์ดส รี้ด (Miles Teller) ที่เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เขาวาดฝันว่าจะต้องเป็นคนแรกที่สามารถเทเลพอร์ตไปยังที่อื่นได้ เขาคิดค้นมันจนเป็นผลสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ กับเพื่อนรักอย่าง เบน กริมม์ (Jamie Bell) แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ผู้สอน แต่ก็มีคนที่เล็งเห็นคุณค่าจากงานวิจัยของเขา
และคนๆ นั้นคือ ดร.แฟรงคลิน สตอร์ม (Reg E. Cathey) นั่นเอง
ดร.สตอร์ม มีลูกชายอยู่คนหนึ่ง คือ จอห์นนี่ สตอร์ม (Michael B. Jordan) กับลูกสาวบุญธรรมอีกคน ซู สตอร์ม (Kate Mara) ที่ในสายตาของเพศชาย ย่อมมองว่า เคท คือนักแสดงที่เปล่งประกายที่สุดในหนังเรื่องนี้ แถมยังมีเยาวชนคนแรกที่ทำให้เกิดโครงการนี้ขึ้นมา เขาคือ วิคเตอร์ วอน ดูม (Toby Kebbell) ที่ถูกชักชวนให้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้ง
การคิดค้นที่สัมฤทธิ์ผลกำลังนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง เมื่อพวกเขาเลือกจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่อง และนำพาไปสู่โลกที่ไม่มีใครรู้จัก ที่นั่นทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็น “อย่างอื่น”
ดูเหมือนว่า ‘แฟนแทสติก โฟร์’ เวอร์ชั่นนี้จะให้ความสำคัญกับการเล่าปูมหลังของตัวละครอย่างมาก แถมยังเลือกจะรักษาโทนของตัวเองไปตลอดทาง ด้วยฟีลของหนังที่กึ่งๆ กดดันและจริงจัง บอกเล่าความเนิร์ดของตัวละครที่มุ่งมั่นจะทำมันจนประสบความสำเร็จให้จงได้ แต่ก็ดูเหมือนการดำเนินเรื่องที่ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาปะปนและใช้เวลาเนิ่นนานเกินไป จนไร้พลังมากพอให้ผู้ชมรู้สึกมีอารมณ์ร่วมไปด้วย และอาจพาให้หลายคนง่วงเอาได้
แรกเริ่มต้นเรื่อง เหมือนว่าหนังจะดูเข้าทีที่เลือกเล่าปูมหลังของตัวละครสำคัญ แต่พอนานไป กลับยิ่งรู้สึกว่าหนังไม่ได้ให้ความบันเทิง(ในฐานะของหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความสามารถพิเศษเกินมนุษย์มนาควรจะมี)เท่าที่ควร หากเอาแต่ขับเน้นแง่มุมด้านไซไฟมากเสียจนสูญเสียด้านอื่นไป
รีวิว Fantastic Four Reboot (2015)
อีกจุดหนึ่งที่หลายคนมองเห็นหลังได้ชมแฟนแทสติก โฟร์ เวอร์ชั่นนี้ของ ผกก. แห่ง ‘Chronicle’ อย่าง Josh Trank ก็คือ การลงรายละเอียดมากเกินกับที่มาที่ไปก่อนที่พวกเขาจะมีพลังพิเศษ เพราะกว่าจะได้เวลาลุ้นระทึก มันก็แทบจะจบเรื่องเสียแล้ว
แถมเวอร์ชั่นนี้ยังมีหลายสิ่งที่ขาดหายไป ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขันที่ลดน้อยถอยลงไปอย่างน่าใจหาย หรือจะเป็นการเล่าเรื่องที่มีชั้นเชิงทำให้คนดูรู้สึกอยากติดตาม เส้นเรื่องที่เดินตรงเด่จนไม่มีจุดหักเหหรือจุดบรรจบ รวมไปถึงการแสดงและแคสติ้งที่เราพบว่า แฟนแทสติก โฟร์ รุ่นใหม่ไม่มีสีสันมากพอ
อีกทั้งตัวละครบางตัวก็มีเสียงพูดที่ทุ้มต่ำเกินไป ทำให้ความอึมครึมถูกกดทับหนักจนหนังไม่อาจพาตัวเองผ่านไปสู่ความบันเทิงอย่างที่หนังซูเปอร์ฮีโร่ควรจะเป็นได้
หนังให้เวลากับการปูเรื่องมากจนเกินพอดี เมื่อทุกอย่างดูราบเรียบมาตลอดเพื่อลุ้นระทึกช่วงท้ายเพียงช่วงเดียว มันจึงดูเป็นช่วงเวลาที่สั้นไปสำหรับคอหนังซูเปอร์ฮีโร่ และนี่คือจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้
ที่ไม่รู้ว่าจุดขายของตัวเองคืออะไร
การดู Fantastic Four ล่าหลังกว่าคนอื่นคงถือเป็นความโชคดีประการหนึ่งครับ เพราะหลังจากผ่านตาคำบ่นของคนดูมามากๆ เข้า อันว่าความคาดหวังของเราก็ลดต่ำลงตามลำดับ จนก่อนจะตีตั๋วดูนี่ทำใจได้สบายๆ ครับ คือหนังจะแย่แค่ไหนก็รับได้แล้วล่ะ
และคงเพราะแบบนั้นผมเลยไม่ถึงกับรู้สึกแย่กับ FF ขนาดนั้น แต่ก็ไม่ได้ชอบหรอกนะครับ คือมันดูได้เรื่อยๆ ดูจบแล้วก็จบกัน ไม่ได้รู้สึกพิเศษอะไรมากมาย
ไปๆ มาๆ ผมรู้สึกชอบฉบับเก่ามากขึ้นกว่าเดิมเยอะครับ ชนิดที่กลับไปหาซื้อ Blu-Ray 2 ภาคของเก่ามาเก็บเลยล่ะครับ (ประมาณว่าที่ไม่ซื้อก็เพราะรอฉบับใหม่นี่ทีเดียว กะซื้อฉบับเดียวไปเลย แต่พอออกมาในรูปนี้ สมองก็หวนรำลึกครับว่าฉบับเก่ามันเพลินกว่ากันแค่ไหน เลยไปสอยมาซะ 555)
ฉบับใหม่นี่จริงๆ ก็ไม่เลวนะครับในเรื่องสไตล์ที่ฉีกมาในแนวหนังไซไฟระทึกขวัญ เนื้อเรื่องประมาณว่านักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งพยายามทะลุมิติไปยังโลกอื่น แล้วพอทำสำเร็จพวกเขาก็ยกขบวนกันไปสำรวจมิติที่ว่า (แบบลับๆ เนื่องจากโครงการกำลังจะถูกทางการฮูบชุบมือเปิดไป) ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ตามมาที่ทำให้ 4 นักวิทยาศาสตร์กลายเป็น Fantastic Four และอีก 1 นักวิทย์ก็กลายเป็น Dr. Doom
สไตล์มันได้อารมณ์ไซไฟระทึกขวัญจริงๆ ครับ ประเภท The Fly, From Beyond, Hollow Man หรือถ้าใหม่หน่อยก็ชวนให้นึกถึง Prometheus หรือ The Lazarus Effect ประเภทว่ามีการทดลองอะไรสักอย่าง สำรวจอะไรสักอย่าง แล้วก็มีเหตุให้ตัวละครสักตัวมีอะไรเปลี่ยนแปลงกลายเป็นตัวหายนะ แล้วพวกที่เหลือก็ต้องหาทางสยบ ซึ่งถ้าพูดถึงสไตล์ที่ว่า หนังก็ทำได้อารมณ์นั้นไม่เลวครับ เพียงแต่มันไม่ใช่อะไรที่คอหนังซูเปอร์ฮีโร่คาดหวังว่าจะได้ชมน่ะครับ
ความรู้สึกหลังดู
จริงๆ การที่หนังนำเสนอแบบโทนจริงจังมันก็ยังพอไหวนะครับ เพียงแต่มันไม่ได้ให้อารมณ์ฮีโร่อย่างที่ควรจะเป็น อย่างพวก The Dark Knight นั่นก็จริงจังครับ แต่มันก็สะท้อนความหมายของฮีโร่ ยังสื่ออารมณ์ทำให้เราฮึกเหิมไปกับอำนาจที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง
แต่กับเรื่องนี้ก็อย่างที่บอกครับว่าถ้ามันเป็นหนังทำเพื่อเสิร์ฟอารมณ์แนวไซไฟระทึกขวัญน่ะ เราจะไม่แปลกใจหรือรู้สึกแย่กับมันเลย แต่พอว่ามันคือหนังฮีโร่ ทว่ากลับไม่มีหลายๆ รสชาติที่หนังแนวนี้พึงมี (แล้วก็ไปเน้นโทนระทึก พร้อมฉากสะพรึงๆ แบบคนหัวระเบิด เลือดสาดกำแพง) มันก็เลยเหมือนหนังพลาดเป้า คนดูส่วนใหญ่เลยพลอยรู้สึกไม่โดนไปตามๆ กัน
เหมือนเราจะกินสปาเก็ตตี้คาโบนาร่า แต่พ่อครัวปรุงออกมาแบบผัดไทกุ้งสด แม้รสมันจะโอเคสำหรับความเป็นผัดไท แต่ตอนเรากินก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่า “มันไม่ใช่อ้ะ”
พูดก็พูดครับ ผมชอบ Miles Teller นะ เขาดูไม่เลวกับบทนักวิทยาศาสตร์หนุ่มสติเฟื่อง (แต่ก็ไม่หลุดโลกเกินเหตุ) แต่พี่แกยังไม่มีรัศมีผู้นำ ยังดูไม่เป็นรีด ริชาร์ดส์ที่เป็นที่พึ่งให้กับเพื่อนๆ และเปี่ยมความรับผิดชอบ ส่วน Michael B. Jordan ก็โอเคครับ เป็นจอห์นนี่ได้กวนดี เพียงแต่บางอย่างมันก็ขัดกัน คือดูๆ แล้วพี่แกน่าจะเป็นพวกรักเสรี ไม่มีใครมาบงการข้าได้ ข้าจะอยู่จะไปก็เรื่องของข้า และไม่ชอบฟังคำสั่งของพ่อและพี่ แต่เขาดันไม่มีปัญหาเลยกับการรับคำสั่งจากพวกทหาร และดูเหมือนจะพร้อมรับใช้ชาติด้วย (ตกลงพี่เป็นมนุษย์เพลิงหรือกัปตันอเมริกาเนี่ย 555)
Kate Mara ก็ดูธรรมดาไปเลยครับกับบทสาวล่องหนซู สตอร์ม พอๆ กับ Jamie Bell ที่ไม่เด่นกับบทเบน กริมม์ ซึ่งคาแรคเตอร์ของเบนตอนเป็นมนุษย์อิฐก็ดูไม่มีมิติเลย คือตั้งท่าโกรธรีดเป็นหลัก แล้วพอเรื่องจบ จู่ๆ ก็กลับเป็นเพื่อนกับรีดเฉยเลย
ยอมรับครับว่าชอบคาแรคเตอร์ของ Fantastic 4 ชุดก่อนมากกว่า ไม่ใช่แค่เพราะดาราดังนะครับ แต่เพราะมันชัดเจน มันมีปฏิสัมพันธ์ที่ลื่นไหลกว่ากันมาก
ไปๆ มาๆ คนที่ดูโอเคสุดผมยกให้ Toby Kebbell ในบทดูม คือพี่แกดูมีปมมีอะไรในใจเยอะครับ (แม้จะยังเยอะได้อีกก็เถอะ) และเอาเข้าจริงคาแรคเตอร์ดูมภาคนี้มันไม่ใช่แค่คนบ้าอำนาจแล้วก็บ้าคลั่ง แต่เป็นพวกต่อต้านระบบตั้งแต่เริ่ม แล้วก็รำคาญกับโลกที่เต็มไปด้วยพวกเห็นแก่ตัว จึงไม่แปลกหากเขาจะกลายเป็น ดร. ดูม
และจริงๆ พลังพี่แกก็น่าเกรงขามครับ… แต่บทจะจอดก็จอดสนิทเลย… ง่ายไปนะผมว่า
โดยรวมหนังเลยออกมากึ่มๆ กั๊กๆ น่ะครับ จริงๆ ได้ข่าวว่า Josh Trank เขาทำหนังออกมาในแบบของเขา และเขาก็บอกว่าเขามีไอเดียที่ดีมาก แต่ทางค่ายไม่เห็นด้วย แล้วก็สั่งให้เขาทำหนังออกมาจนเป็นแบบนี้ ในขณะที่ทางค่ายก็บอกว่าให้อิสระ Trank เต็มที่แล้ว อันนี้ก็ไม่รู้กันล่ะนะครับว่าความจริงเป็นแบบไหน รู้แต่ว่าหนังมันออกมาเป็นแบบนี้แล้ว และคนส่วนใหญ่ก็ไม่โอกับมัน
ส่วนผม ก็ถือว่าดูได้ครับ แต่มันไม่กลมกล่อมเท่าไร ยังไงก็ยังชอบ 2 ภาคก่อนมากกว่าอยู่ดี ซึ่งก็ต้องจับตาดูต่อไปครับว่าจะมีภาคต่อไหม (ได้ข่าวว่าผู้สร้างยังอยากทำภาคต่ออยู่ และไม่ขอคืนสิทธิ์ให้กับทาง Marvel ง่ายๆ ด้วย)