รีวิว Escape Room – กักห้อง เกมโหด
หนัง Escape Room เมื่อเพื่อนสี่คน ได้เข้ามาทดสอบสติปัญญา ความฉลาดของตัวเอง ในเกมที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิต เมื่อพวกเขาต้องหาทางเอาตัวรอดออกจากห้องที่เต็มไปด้วยความอันตราย และถ้าออกไปไม่ได้ นั่นหมายถึงชีวิต!
ตอนแรกไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แอบประเมินความชื่นชอบ, ความสนุกไว้ค่อนข้างต่ำ ด้วยพล็อตแนวนี้ หน้าหนังแบบนี้ ไม่น่าจะมีอะไรแปลกใหม่ เดาง่ายอยู่แล้ว…แต่!!!!! วิธีการเล่าเรื่อง การนำพาหนังกลับพาให้เรารู้สึกสนุก ลุ้นระทึกมากๆ แม้จะเดาๆ อะไรหลายๆ อย่างได้อย่างง่ายดาย แม้แต่ตอนจบ แต่ดูแล้วสนุกบันเทิงสะใจมาก นับว่าครีเอทและสร้างสรรค์ดี แม้จะไม่เท่า Cabin In The Wood หรือ The Funny Game แต่ก็เอามันส์ได้อยู่ช่วงนี้ที่ไม่ค่อยมีหนังแนวนี้สักเท่าไหร่ ก็ดูเรื่องนี้พอเอามันส์ได้เลย
พวกงานสร้างและฉากต่างๆ ได้มาตรฐานตามแบบฉบับฮอลลีวู้ด ดูอลังการอยู่ประมาณนึง ไม่ได้ถึงขั้น Hunger Game อยู่ประมาณพวก Cabin in the wood แหล่ะ มุมกล้องการดีไซน์ภาพก็ใช้ได้ การแสดงก็ไม่ได้แย่อะไร ไม่ขัดหูขัดตา พล็อตก็ทั่วๆ ไปพอเดาได้ แต่หนังแบบนี้ก็ทรงๆประมาณนี้อยู่แล้ว ซีจีก็อยู่ในมาตรฐานฮอลลีวู้ดอยู่ ที่น่าชื่นชมคงเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกสนานบันเทิงขึ้นเยอะเลย ลุ้นระทึกจิกที่นั่งแน่นเลย… แต่ถ้าน่ากลัวกว่านี้หน่อยจะเพอเฟกต์!!!!
Escape Room คือเกมประเภทหนึ่งที่ในต่างประเทศนิยมเล่นกัน จริงๆ แล้วในไทยก็มีหลายที แต่ไม่ค่อยนิยม อาจจะเพราะราคาที่สูงเกินไป มันจะเป็นเกมที่ผู้เล่นต้องเข้าไปอยู่ในห้องๆ นึง ที่จะต้องหาทางออกให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด โดยการไขปริศนาในห้องปิดตายตามแต่ห้องนั้นกำหนด นั่นแหละคือคอนเซ็ปต์ของหนังเรื่องนี้
หนังว่าด้วยเรื่องของคนแปลกหน้า 6 คนที่ได้เข้ามาเล่นเกมแห่งนี้ โดยมีเงินรางวัลจำนวนมากเป็นเดิมพันสำหรับผู้ที่ชนะ นักแสดงแต่ละคนอาจไม่คุ้นหน้าคุ้นตาเราสักเท่าไหร่ แต่ถือว่านั่นคือข้อดี เพราะมันทำให้เรารู้สึกว่าคนเหล่านี้คือคนธรรมดา คนแปลกหน้า และมันส่งผลกับอารมณ์ร่วมของเราต่อหนังมากกว่านักแสดงบิ๊กเนม แถมพวกเขายังแสดงได้ดีกว่าที่เราคิดไว้ซะอีก
ฉากเปิดเรื่อง หนังก็ทำให้เราระทึกตั้งแต่ต้นเรื่องเลย มันเลยส่งผลให้การดำเนินเรื่องหลังจากนั้นชวนตื่นเต้นและทำให้เราลุ้นว่าในแต่ละห้อง พวกเขาจะผ่านไปยังไง จะแก้ปริศนาได้ไหม จะรอดกันครบหรือเปล่า? ห้องแต่ละห้อง นั่นแหละคือจุดขายและความสนุกของหนัง แต่ในความสนุกนี้ เราก็รู้สึกติดนิดนึง เพราะในจุดนี้กลับออกแบบปริศนาในแต่ละห้องได้ดูง่ายจนเกินไป แถมปริศนาแต่ละอย่างไม่เล่นกับคนดูเลย หนังไม่ปล่อยพื้นที่ให้คนดูได้คิดตามเกี่ยวกับการแก้ไขปริศนาในแต่ละห้องเลยแม้แต่นิดเดียว
คนแปลกหน้า 6 คน ได้รับกล่องลึกลับพร้อมกุญแจที่เชื้อเชิญพวกเขามาไขปริศนาห้องกลไกปิดตายหลากหลายห้อง เพื่อพิชิตเงินรางวัลมหาศาล หากแต่ว่าสิ่งที่ต้องนำมาเสี่ยงอาจหมายถึงชีวิตของพวกเขา ในตอนที่ไม่อาจหันหลังกลับ พวกเขาต้องร่วมมือเล่นเกมเพื่อเอาชีวิตรอดจากห้องนรกเหล่านี้ และค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
เป็นหนึ่งในหนังเบอร์รองที่มีหน้าหนังน่าสนใจทีเดียวในเดือนนี้ กับแนวเกมไขปริศนา (Puzzle) เอาชีวิตรอดและหาความจริงเบื้องหลังไปพร้อมกัน ดูพลอตแนวนี้ก็ชวนนึกถึงพวกเกมแนว point & click ไขปริศนาที่ฮิตกันอยู่ช่วงหนึ่งในคอมพิวเตอร์ แล้วปัจจุบันก็โดดมาลงในมือถือให้เล่นกันหลายต่อหลายเกม ยิ่งสมัยนี้มีถึงขนาดเป็นร้านเกมที่สามารถชวนเพื่อนเข้าไปแก้ปริศนาห้องปิดตายซึ่งต้องออกมาในเวลาที่กำหนดด้วย และหากมองไปในโลกของภาพยนตร์ก็มีหนังเจ๋ง ๆ ที่นึกออกไว ๆ ในแนวนี้อย่าง Cube (1997) Saw (2004) และ Exam (2009) ล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่สร้างแฟนกลุ่มเฉพาะอย่างเหนียวแน่นทั้งสิ้นและแน่นอน Escape Room ก็นำอารมณ์ความรู้สึกท้าทายแบบนั้นมาสู่ผู้ชมผ่านตัวละครที่แตกต่างกันทั้ง 6 คนได้อย่างน่าสนใจ
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเรื่องนี้คงเป็นงานโปรดักชั่น เพราะแต่ละห้องออกแบบมาได้มีกิมมิคเฉพาะตัว และสวยงามไม่ใช่เล่น บวกกับการถ่ายทำ มุมกล้องต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันกระตุ้นให้หนังสนุกและน่าดูมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลย
แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากๆ คือบทสรุปจบของหนัง มันหาทางจบง่ายเหลือเกิน ที่ใครติตดามแนวนี้มาบ่อยๆ คงจะเดากันได้ไม่ยากเลย เพราะหนังแนวๆ นี้มันแทบจะจบแบบนี้ซะทุกเรื่องเลย อีกทั้งประเด็นรองของแต่ละตัวละครในหนังที่ส่งผลกับหนังเพียงนิดเดียว และเกือบหลุดประเด็นไปซะนี่
สรุปแล้ว Escape Room เป็นหนังที่ดูได้เพลินๆ เรื่องนึง มีทั้งจังหวะตื่นเต้น ลุ้น อยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งเรื่องนั้นแหละ ถ้าจบดีกว่านี้ หนังจะสนุกกว่านี้แน่นอน แต่ก็ไม่เสียดายนะ ถ้าจะจ่ายตังไปดูเรื่องนี้
รีวิว Escape Room – กักห้อง เกมโหด
นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 สำหรับ อดัม โรบิเทล ผู้กำกับที่เป็นที่รู้จักกับหนังสยองขวัญภาพติดตาอย่าง The Taking of Deborah Logan (2014) และ Insidious: The Last Key (2018) โดยส่วนสำคัญกับหนังแนวนี้คงต้องดูไปถึงบท ที่ได้มือเขียนบทอย่าง บรากี้ เอฟ. สชูต กับ มาเรีย เมลนิค
มาร่วมกันเขียน ซึ่งผลงานที่ชัดเจนสุดของ สชูต คือ Season of the Witch (2010) หนัง นิโคลัส เคจ ปะทะแม่มดยุคกลางที่เลือนลางในความทรงจำเราเหลือเกิน ส่วนเมลนิคนั้นมีเครดิตในการเขียนบทซีรีส์อย่าง American Gods ที่พอคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง
แต่ความเหนือคาดก็มาตรงที่ว่าหนังมีความละเอียดในเชิงบทสูงกว่าที่คิดไว้เยอะ ซึ่งบทนี้เองมักจะเป็นจุดอ่อนในหนังแนวนี้ที่ชอบมีรูโหว่ของพลอตให้เห็นมากน้อยต่างกันไป แต่กับ Escape Room ถือว่าทีมเขียนบททำการบ้านมาดีจนน่าชื่นชม ทั้งบทพูดคำคมที่น่าจดจำในช่วงต้นเรื่อง
การปูพื้นตัวละครที่แตกต่างกันถึง 6 คน แล้วค่อย ๆ เรียงร้อยเผยปูมหลังผ่านการร่วมเล่นเกมได้อย่างน่าสนใจ เป็นลีลาการเล่าที่ดึงผู้ชมเข้าไปหา เข้าไปสงสัย อยากรู้ความเป็นมาของผู้เล่นแต่ละคน ที่ถูกผูกกับปริศนาในเกมอย่างลึกซึ้ง
และไม้เด็ดของหนังก็คงเป็นทางลงหรือบทสรุปของเรื่อง ที่ว่ากันแล้วมักเป็นจุดตายของหนังไฮคอนเซ็ปต์หลาย ๆ เรื่องเสียด้วยซ้ำ แต่กับ Escape Room นั้นถือว่ามีทางลงที่สวยดีทีเดียว ทั้งผูกโยงกับคำใบ้ของตัวละครตอนต้นเรื่อง ทั้งการเชื่อมโยงที่เปิดกว้างและท้าทายไอเดียผู้ชมว่าหากมีภาคต่อจะสนุกขนาดไหน
ความรู้สึกหลังดู
โดยหนึ่งในอาวุธไม้ตายของหนังที่ต้องบอกว่าดีงามคือเกมปริศนาในแต่ละห้องนั่นเอง มันมีทั้งเวลาที่บีบบังคับ ความกดดันของผู้ร่วมเล่นเกม ตัวปริศนาที่ต้องอาศัยทั้งการสังเกต ความคิดนอกกรอบ พลังกาย และโชค ในแบบที่ว่าดูไปก็ลุ้นร่วมคิดไปกับตัวละคร
อยากให้ผ่านให้รอดให้ได้ ซึ่งสนุกมากราวกับได้เล่นเกมนี้เอง ยิ่งระดับความอันตรายของเกมแต่ละห้องเพิ่มสูงขึ้น ความน่าค้นหาและเอาใจช่วยก็ยิ่งทวีคูณ มันให้อารมณ์เหมือน Saw ในแบบที่แฟนตาซีกว่าและสยดสยองน้อยกว่า
ซึ่งคงเหมาะกับคนดูกลุ่มกว้างขึ้นด้วย เอาเข้าจริงแค่ฉากเปิดเรื่องเราก็เกร็งปัสสาวะเหนียวแล้วล่ะ ณ จังหวะนั้นรู้เลยว่าหลังจากนี้หนังต้องทำให้เรากระเพาะปัสสาวะอักเสบแหง ๆ แล้วก็ไม่เสียความตั้งใจนั้นเลย
ด้านนักแสดงก็ได้ดาราตัวสมทบจากหลากหลายวงการมาร่วมเล่น ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าชื่นชม แต่กลับเป็นว่าการที่ดาราแต่ละคนไม่ดังมาก ทำให้เราอินกับตัวละครแปลกหน้าเหล่านี้ได้ง่ายด้วย ที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ก็มีเช่น เทย์เลอร์ รัสเซลล์
จากซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ Lost in Space, เดบาร่าห์ แอน โวลล์ ที่คุ้นหน้าในซีรีส์ค่ายมาร์เวล Daredevil และซีรีส์ชั้นดีอย่าง True Blood, โลแกน มิลเลอร์ จากหนัง Scouts Guide to the Zombie Apocalypse (2015) และ ไทเลอร์ ลาไบน์ จากหนังอินดี้ดูสนุกอย่าง Tucker and Dale vs Evil (2010)
ซึ่งแต่ละคนแบกรับนิสัยและปฏิกิริยาตอบรับกับเกมที่ต่างกัน อันเป็นเคมีที่ทำให้เราดูหนังด้วยความสนุกขึ้นอย่างพอดิบพอดีกับแนวหนังแอคชั่น ไม่จัดจ้านจนต้องชิงออสการ์ แต่ก็อินไปด้วยได้มากพอ
อย่างสุดท้ายที่ชอบเลยคือโปรดักชั่นดีไซน์ ทั้งตัวเกม และอาร์ตของห้องแต่ละห้องมีความละเมียดตั้งใจ ที่เห็นชัดเลยอย่างห้องที่ตีลังกากลับหัวนี่คือเจ๋งเลย ยังไม่นับอาร์ตในห้องหลัง ๆ ที่แปลกประหลาด งานภาพที่ไม่น่าเบื่อ
กล้องเล่นกับเอกลักษณ์ของห้องแต่ละห้องได้สนุกมากด้วย ข้อด้อยที่พอจับได้อย่างชัดเจนหนึ่งเดียวของหนังคือซีจีหลายฉากที่ดูลอย ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ได้ขัดตาจนทำลายความดีงามอื่น ๆ ของหนัง แต่ก็เป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดได้หากจะมองหาจุดไม่ดีของหนัง ซึ่งว่าไปก็จิ๊บจ๊อยมากเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่หนังโชว์ซีจีอยู่แล้ว
เมื่อพิจารณาจากรายได้ทั่วโลกของ Escape Room ในเวลานี้ ก็ยิ่งมั่นใจได้เลยว่าภาคต่อของหนังเรื่องนี้จะต้องตามออกมาแน่นอน เมื่อต้นทุนในการสร้างคือ 9 ล้านเหรียญฯ แต่รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 78 ล้านเหรียญฯ และยังไม่เสร็จสิ้นการฉาย เตรียมรอคำเฉลยเรื่องราวทั้งหมดในหนังภาคแรก ในหนังภาคต่อไปได้เลย