รีวิว Doraemon The Movie 2020
เนื่องในโอกาสครบ 50 ปีของการ์ตูนขวัญใจคนทั้งโลก “โดราเอมอน” ที่ถูกสร้างสรรค์เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปมายาวนานถึง 5 ทศวรรษแล้ว โนบิตะได้ค้นพบไข่ไดโนเสาร์จากนิทรรศการไดโนเสาร์ ก่อนที่จะฟักตัวออกมาเป็นไดโนเสาร์พันธุ์ขนสีเขียว และสีชมพู ที่โนบิตะตั้งชื่อว่า คิวและมิว โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ประจำปี 2020 ซึ่งก็ได้วนกลับมาเล่าเรื่องของไดโนเสาร์ (อีกครั้ง) ซึ่งก็เป็นไดโนเสาร์ตัวใหม่สมชื่อเรื่อง แต่ตัวบทดูจะไม่ค่อยใหม่เท่าไหร่ หลายสิ่งหลายอย่างคาดเดาได้ จนเรียกได้ว่าเป็นหนังสำหรับเด็กอย่างจริงจัง
Nobita’s New Dinosaur ผลงานภาพยนตร์ลำดับที่ 40 กำกับโดย คาซุอากิ อิไม ร่วมกับผู้เขียนบทอย่าง เกงคิ คาวามุระ (จากตอน เกาะมหาสมบัติของโนบิตะ) ที่หยิบนำเรื่องราวของไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ เดอะมูฟวี่ในปี 2006 มาสานต่อเรื่องราวอย่างเป็นทางการ และเป็นภาพยนตร์ลำดับแรกของยุคราชวงศ์เรวะ เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของ
โดราเอมอน ได้เข้าฉายแล้วโดย Major Cineplex ผ่าน เอ็ม พิคเจอร์ ซึ่งแย่หน่อยสำหรับที่ญี่ปุ่นที่ต้องเจอสภาวะโรคระบาดทำให้หนังต้องเลื่อนฉายจากมีนาคม มาถึงสิงหาคม และเป็นโชคดีที่ไทยเราได้วันฉายไม่ห่างตามปกตินัก (อย่าให้พูดถึงโคนัน เดอะมูฟวี่ 24 แค้นที่เลื่อนไปฉายปีหน้า)
ส่วนหนึ่งผมแอบเสียดาย ความเป็น Sci-Fi หรือ มีกิมมิกในเนื้อหาของ โดราเอมอน เดอะมูฟวี่ ภาคเก่า ๆ นะ คือมันมักจะมีจุดที่ทำให้แปลกใจ หรือ ขบคิดได้ แต่เดอะมูฟวี่ในยุคหลัง ๆ กลับกลายเป็นการ์ตูนเด็ก เดินเรื่องตามสูตร คาดเดาได้ไม่ยาก แต่ดันต่างจากหนังเด็ก ตรงที่เลือกจะเดินเรื่องยาวกว่า (ภาคนี้ยาวเกือบ 2 ชั่วโมง)
ยังไงก็ตามถ้านับว่าดูเอาความเพลิดเพลิน ก็ถือว่าหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้โอเค แม้พลอตจะเก่า แต่ก็มีประเด็นที่มาสอน น้อง ๆ หนู ๆ ให้ผู้ปกครองได้พาลูกเข้าไปดูในโรงกัน ช่วงท้ายมีประเด็นที่ดูน่าสนใจเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ แต่ก็แอบคิดว่า มันดูสูตรไปนิด
มีการผจญภัยมากมายที่เกิดขึ้นทั้งในจอโทรทัศน์ และภาพยนตร์ รวมถึงหนังสือการ์ตูน ซึ่งผ่านมากี่ครั้งก็ทำยอดขายดีและเป็นที่รักของแฟน ๆ น้อง ๆ หนู ๆ ทุกคน ปีนี้เราจึงได้ภาพยนตร์ภาคต่อครั้งแรกเป็นของขวัญให้กับการเฉลิมฉลองครั้งนี้ ซึ่งยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า มันคือภาคต่อ แต่มันต่ออย่างไร ผมคงไม่ต้องพูดอะไรมาก แต่ความน่า
สนใจของภาคนี้ คือ การให้พื้นที่กับไดโนเสาร์มีปีกที่เชื่อกันว่าจะสามารถวิวัฒนาการเป็นอย่างอื่น อย่างพันธุ์แร็พเตอร์ ซึ่งไม่ได้มาแทนที่พีซึเกะ แต่จะมาถ่ายทอดจักรวาลของโดราเอมอนให้ขยายกว้างมากกว่าที่เป็นเพียงภาพยนตร์จบในตอนหรือในเรื่อง…แต่ก่อนจะถึงตรงนั้น ไปอ่านเรื่องย่อกันดีกว่า
ไม่กี่เดือนภายหลังเหตุการณ์ใน ไดโนเสาร์ของโนบิตะ (2006) ในปี 2020 โนบิตะได้ค้นพบไข่ไดโนเสาร์ที่ไม่เคยถูกพบมาก่อนนิทรรศการชั้นดินใกล้บ้าน ก่อนจะร่วมมือกับโดราเอมอนนำไข่ไปฟักตัวออกมาเป็นไดโนเสาร์พันธุ์ใหม่ที่โนบิตะได้มีสิทธิ์ตั้งชื่อสายพันธุ์ตามการค้นพบใหม่นี้ว่า “โนบิซอรัส” ตั้งชื่อว่า “คิวและมิว”ทั้งสามเริ่มผูกพันต่อกัน กลาย
เป็นสายสัมพันธุ์ที่แน่นแฟ้น เขาจึงตัดสินใจจะดูแลและปกป้องทั้งสองตัวให้ดีที่สุด ทว่ายุคสมัยนี้ไม่ใช่ยุคที่เหมาะสมกับไดโนเสาร์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่างคิวและมิว โนบิตะและผองเพื่อนจึงต้องพาคิวและมิวกลับไปที่ปลายยุคครีเทเชียส ซึ่งที่นั่นเขาได้พบกับความจริงบางอย่างที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์โลกไปตลอดกาล”
ทั้งสามเริ่มผูกพันต่อกัน ทว่าโลกใบนี้ไม่ใช่โลกที่เหมาะสมกับไดโนเสาร์อย่างคิวและมิว โดราเอมอนและผองเพื่อนจึงขอให้โนบิตะพาคิวและมิวกลับไปหาพวกที่อยู่ในยุคครีเตเชียส แต่กลับต้องเผชิญกับดาวหางทำลายล้างที่กำลังจะโคจรเข้ามาใกล้โลกขึ้นทุกที
โนบิตะจะสามารถตามหาผองเพื่อน และปกป้องคิวและมิวจากมหันตภัยร้ายครั้งนี้ได้หรือไม่ หรือสุดท้าย ประวัติศาสตร์จะเป็นสิ่งที่ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขซ้ำได้อีกแล้ว
เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
รีวิว Doraemon The Movie 2020
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เนื้อเรื่องของโดราเอมอนฉบับภาพยนตร์มีการสอดแทรกความรู้ประวัติศาสตร์ไดโนเสาร์เยอะที่สุด ทั้งสอดแทรกจากฉากหรือการอธิบายของโดราเอมอนที่เปรียบเสมือนเป็นไกด์พาทุกคนไปเรียนรู้ด้วยกัน มีมุกตลกให้เด็กหัวเราะ
โดยเฉพาะมุกของวิเศษหยิบผิดครั้งนี้ขยี้หนักมาก ๆ ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ได้เวอร์วังอย่างภาคก่อน โดยเฉพาะของวิเศษที่การนำเสนอของภาคนี้มีความจับต้องได้ง่ายขึ้น เอาจริง ๆ แล้ว ภาคนี้ถือเป็นภาคที่เดาเนื้อเรื่องอะไรได้ง่ายมาก
โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ แต่ไอ้ความง่ายนี้ก็มักโดนตบหน้าหันเมื่อมันเฉลยในฉากต่อ ๆ มา ซึ่งเหมือนภาคนี้จะรู้ตัวเองดีว่าไม่สามารถดีทัดเทียมได้อย่างภาคต้นอย่าง ไดโนเสาร์ของโนบิตะ มันจึงอัดแน่นไปด้วยสาระและเนื้อหาที่ค่อนข้างจะเรียบง่ายและไร้พิษภัย
แต่ก็ยังกล้าใส่ความซีเรียสและอารมณ์ที่อัดแน่นที่บีบคั้นแบบที่โดราเอมอนเดอะมูฟวี่ช่วงหลัง ๆ ทำหายไป ซึ่งเรียกได้เลยว่าเป็นเรื่องที่ใหญ่ที่สุดอีกเรื่องที่โดราเอมอนและโนบิตะได้พบเจอมาเลยทีเดียว ในขณะเดียวกันก็มีความใส่รายละเอียดที่สำคัญมาก ๆ ในแทบทุกฉาก
เรียกได้ว่าถ้าภาคก่อนเดินเรื่องรวดเร็ว ภาคนี้จะใช้การเล่าแบบ เรียกว่าอืดเลย แต่ไม่ได้อืดจนน่าเบื่อ เพราะฉากนั้น ๆ มันจะมีอะไรเชื่อมไปยังฉากต่อไปจริง ๆ และก็ถือเป็นภาคที่ผมน้ำตาไหลถึง 4 รอบ ยอมรับว่าองค์ประกอบของภาคนี้ไม่ได้ไก่กาอย่างที่เคยถูกสบประมาทไว้เลย อีกทั้งมันยังเป็นจดหมายรักส่งให้ถึงคนที่เคยดูภาค 2006 ด้วย
เมื่อไม่มีตัวละครใหม่ของภาคที่เป็นมนุษย์หลัก หนังจึงให้ความสำคัญกับตัวละครของเรื่อง โดยเฉพาะตัวโนบิตะ ที่เราจะได้เห็นมุมที่เราคุ้นเคย แต่ครั้งนี้มันจะเจาะลึกไปถึงสิ่งที่เขาคิด และความพยายามของเขาที่น่ายกย่องมากที่สุดของภาคนี้
ความรู้สึกหลังดู
ในขณะที่โดราเอมอนก็เป็นตัวละครที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่ เสมือนเป็นคุณครูของโนบิตะ เพราะภาคนี้โนบิตะขอของวิเศษโดราเอมอนแค่ครั้งเดียว ที่เหลือเขาจัดการเองหมด แถมกลายเป็นตัวตลกไปด้วย ในขณะเดียวกัน ชิซึกะ ไจแอนท์ ซึเนะโอะ
ยังเป็นเสมือนตัวละครที่อาจจะไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ก็ยังรักษาบทบาทในการสนับสนุนและช่วยเหลือโนบิตะได้เหมือนเดิม ที่เด่นสุดคือคิวนี่แหละ ไดโนเสาร์สีเขียวที่มีฉากซีนดี ๆ มากกว่ามิวที่เป็นแฝดด้วยกันซะอีก จนบางครั้งก็คิดว่าถ้ามีแค่คิวตัวเดียวก็น่าจะพอ
แต่ไม่ใช่ว่ามิวไม่เด่นนะ มิวก็น่ารักและเข้าขากับชิซึกะให้เห็น แต่หนังไม่ให้ความสัมพันธ์กับโนบิตะมากเท่ามิว แต่ก็ยังโปรยเสน่ห์ความน่ารักควบคู่ตามประสาสัตว์โลกน่ารัก ในขณะที่ตัวละครใหม่ที่เป็นวายร้ายของภาคนี้ ดูจะเป็นอะไรที่จับต้องง่ายที่สุดแล้วในเรื่อง
เพราะเจตนาของพวกเขาอาจทำให้คนดูต้องร้องเลยทีเดียว แต่นอกจากความเด่นยังมีการพัฒนาของตัวละครอีกด้วย ซึ่งถ้าเราดูโดราเอมอนเดอะมูฟวี่ เราจะไม่เห็นกระบวนการนี้โดดเด่นเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้มันแสดงให้เห็นแล้วว่า ถึงโนบิตะจะอ่อนแอ ไม่เอาไหน
แต่คนเราก็ไม่ได้มีด้านเดียว มันมีด้านที่ถูกขับเน้นอย่างเด่นชัดในยามจำเป็น เป็นเหมือนคำโปรยที่ถูกแปลจนผมอยากหยิบมาตั้งว่า สู่การค้นพบตัวตนใหม่ ค้นพบยังไง ลองไปพิสูจน์ดูครับ
ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุกภาคไทย
เชื่อว่าใครหลายคนที่เห็นตัวอย่าง รวมถึงผมคงต้องยี้กันพอสมควรกับงานภาพและลายเซ็นที่ดูแปลกและไม่สวยเหมือนภาคก่อนที่คมชัดและลื่นไหล แต่พอไปดูในโรงจริง ๆ มันคือการเรนเดอร์ประเภทหนึ่งเพื่อให้การเคลื่อนไหวพริ้วไหวไม่มีมีสะดุด
และมันก็ช่วยทำให้มันดูมีความเป็นภาพยนตร์แบบคนแสดงแม้ว่าจะเป็นอนิเมชั่นก็ตาม ผมบอกตรง ๆ เลยว่าแค่อินโทรเปิดมาแล้วมีวงออร์เครสต้าบรรเลง ผมก็ขนลุกแล้ว เพราะโดราเอมอนไม่เคยทำฉากอินโทรแบบนี้มาก่อน อยากให้ทุกคนไปเห็นกับตาในโรง
ฉากและซีจีไดโนเสาร์ที่ถูกปั้นขึ้นซ้อนกับงานภาพอาจทำให้เราตะหงิดเล็ก ๆ แต่ไม่ได้กระทบเท่าไหร่ เดี๋ยวก็ชิน ในขณะเดียวกัน ดนตรีของภาคนี้เด่นมาก เด่นกว่าภาคก่อน มันบิวท์อารมณ์เราอยู่หมัด และทำให้เราน้ำตาซึมในช่วงท้ายที่บอกเลยว่า
ใครได้ดูภาค 2006 มาจะร้องไห้หนักมากเหมือนผม แต่คนที่ไม่เคยดูมาก่อนก็สามารถดูภาคนี้ได้โดยที่ต้องเสียน้ำตาแน่ ๆ และแน่นอนว่าเสียงพากย์เก่ากลับมาครบทีม มีคนเก่ากลับมา แต่คงไม่ต้องพูดอะไรมากในส่วนนี้ แต่เพลงประกอบอย่างที่ได้วง
มิสเตอร์ ชิลเดรน วงป๊อบร็อคชื่อดัง มาถ่ายทอดเรื่องราวผ่านเพลง Birthday เบิร์ธเดย์ (วันเกิด) ซึ่งเป็นเพลงปิดของภาพยนตร์ภาคนี้ และ ฉันนั้นกำลังพูดอยู่คนเดียวให้เธอได้ยิน เพลงแทรกของภาพยนตร์ที่ขึ้นมาได้ตรงจังหวะสุด ๆ และแปลซับออกมาเรียกน้ำตาได้ไม่เสียชื่อวงเลยทีเดียว
ปีนี้คงเครียดกันมาพอแล้วกับโลกใบนี้ เพราะงั้น เรามาลองมาร่วมฉลอง “วันเกิด” ของโดราเอมอน 50 ปี ไปพร้อม ๆ กัน มาร่วมกลับไปเป็นเด็ก กลับไปหัวเราะ กลับไปซาบซึ้งกับมิตรภาพของเพื่อน ๆ ความรักและความผูกพันต่อไดโนเสาร์
ที่ยอมรับว่ามันทำผมร้องไห้หนักมากกว่าตอนที่ดูไดโนเสาร์ของโนบิตะ 2006 กับ สำรวจดินแดนจันทราเมื่อปีก่อนเสียอีก ยอมรับว่าอาจจะไม่ใช่ภาคที่ดีที่สุดของโดราเอมอน แต่เป็นภาคที่ต้องยกความดีความชอบให้กับบทเลยที่ใส่ใจในรายละเอียด
และตัวละครที่มีเสน่ห์มีจิตวิญญาณของมนุษย์พร้อมเสียงพากย์ที่ยังรักษามาตรฐานไว้ไม่มีเปลี่ยนเลยทีเดียว วันหยุดยาวนี้ ผู้ชมวัยไหนก็ตาม โปรดชวนเด็ก ๆ ชวนลูก ชวนหลาน ชวนครอบครัวไปดูกันให้ได้นะครับ ห้ามพลาดเด็ดขาด แล้วคุณอาจจะสามารถพบหนทางในการใช้ชีวิตท่ามกลางปัญหาที่ถาโถมอย่างตัวละครได้ ผมแนะนำจริง ๆ แต่ถ้ายังลังเลอยู่ล่ะก็ ลองไปอ่านพรีวิว รู้กันก่อนดูได้ ที่นี่