รีวิว Deep Blue Sea 3 (2020)
สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังสยองขวัญเรื่อง Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 เมื่อฉลามแสนฉลาดเป็นฝ่ายล่ามนุษย์ ความสยองขวัญจึงได้เริ่มขึ้น
ฉลาม.. เป็นนักล่าที่น่าสะพรึงกลัวแห่งท้องทะเล พวกมันมีทั้งความฉลาด ขนาดใหญ่และพละกำลังมากเพียงพอที่จะอยู่ในชั้นบนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่ถ้าหากมันได้รับการเสริมความแข็งแกร่งให้มากขึ้นกว่าเดิม บางทีแม้แต่มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองแสนฉลาดก็อาจเอาพวกมันไม่อยู่หากอยู่ในท้องทะเลที่เป็นถิ่นของพวกมัน
ถ้าหากใครกำลังมองหาหนังสยองขวัญเกี่ยวกับฉลาม ลองมารู้จักกับหนังสยองขวัญ Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 ที่กำลังจะขอแนะนำในวันนี้ว่าจะน่าสนใจน่าดูกันหรือเปล่า!?
Deep Blue Sea 3 (2020) ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 เป็นภาพยนตร์ไซไฟแนวสยองขวัญแนววิทยาศาสตร์จากอเมริกาที่กำกับโดย John Pogue เขียนโดย Dirk BlackmanDuncan Kennedy และ Donna Powers ซึ่งเป็นภาคที่สามและครั้งสุดท้ายของซีรีส์ภาพยนตร์ Deep Blue Sea และเป็นภาคต่อโดยตรงของ Deep Blue Sea 2 นำแสดงโดย Tania Raymonde, Nathaniel Buzolic และ Emerson Brooks
เรื่องราวของทีมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้เจอกับฉลามหัวบาตรที่ได้หลุดออกมาจากห้องทดลองจากการถูกตัดต่อพันธุกรรมการวิจัยด้านความจำเสื่อม โดยพวกมันมุ่งตรงมาทางพวกเขาในระหว่างที่พวกเขากำลังทำการสำรวจฉลามขาวใต้ทะเลอยู่ พร้อมทั้งฆ่าคนในบริเวณนั้นรวมทั้งฉลามขาวขนาดใหญ่สองตัว พวกเขาจึงต้องช่วยกันกำจัดพวกมันให้ได้
ดำเนินเรื่องไม่ต่อเนื่องจากภาคก่อนหน้า แต่มาในรูปแบบเดียวกันคือ เกี่ยวกับการวิจัยฉลามด้านเซลล์สมอง เพื่อรักษาโรคความจำเสื่อม แต่ภาคนี้จะเน้นไปที่ทีมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในหมู่บ้านริมทะเล ที่มีกลุ่มของทีมวิจัยฉลามด้านเซลล์สมองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เนื่องจากฉลามที่ถูกทดลองตัดแต่งพันธุกรรมได้หลุดออกมาจากห้องทดลองของพวกเขา ซึ่งหนังจะเปิดเผยเรื่องราวในช่วงกลาง ๆ เรื่อง โดยช่วงเปิดเรื่องจะฉายถึงตัวละครหลักที่กำลังสำรวจฉลามใต้ทะเลอยู่ ซึ่งให้บรรยากาศเหมือนกำลังสำรวจไปพร้อมกับตัวละครด้วย วิวทิวทัศน์ใต้ทะเลสวยดี
โดยหนังจะเน้นไปที่การสำรวจ แล้วมีฉลามหัวบาตรหลุดเข้ามา จึงต้องช่วยกันกำจัด มีช่วงให้ลุ้น ชวนหวาดเสียวบ้าง แต่การดำเนินเรื่องค่อนข้างน่าเบื่อชวนหลับไปหน่อย เนื่องจากฉากพูดคุยกันของตัวละครค่อนข้างเยอะพอสมควร บางจุดพอเดาเรื่องได้บ้าง การใช้เอฟเฟกต์ยังไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่
มีบางจุดที่ดูหักล้างกันบ้างจากการพูดและการกระทำที่ค่อนข้างตรงข้ามกัน การตัดสินใจของตัวละครบางครั้งยังไม่ค่อยสมเหตุสมผลและไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่
หนังสยองขวัญ Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 เป็นเรื่องราวของนักชีววิทยาทางทะเลที่ได้ทำการศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนอกชายฝั่งโมซัมบิกและสถานอนุบาลฉลามขาว
ในตอนนั้นเองที่เธอและทีมงานต้องเผชิญหน้ากับฉลามหัวบากที่ได้รับการดัดแปลงพันธุกรรมสามตัวเข้ามาในสถานอนุบาลเพื่อหาแหล่งอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เธอต้องร่วมมือกับเหล่าพรานนักล่าฉลามที่ติดตามพวกมันมากับสมาชิกในทีมเพื่อจัดการกับพวกมันก่อนที่ความเสียหายจะลุกลามออกไป
ประเภท : ระทึกขวัญ / เอาตัวรอด / สยองขวัญ
ปีที่ฉาย : 2020
เวลา : 1.39 ชั่วโมง
IMDb: 4.7 /10
รีวิว Deep Blue Sea 3 (2020)
ภาคแรกผมชอบครับ มาภาคสองก็ทำเอาผมเป๋ไปเหมือนกัน เพราะมันคือการเอาภาคแรกมาทำใหม่ (แต่ความสนุกหล่นหายไปเยอะ) ดังนั้นภาค 3 ผมเลยไม่กล้าคาดหวังใดๆ
หนังเปิดมาดูน่าสนใจดี เพราะเหตุคราวนี้ไปเกิดบนเกาะกลางทะเลแถบโมซัมบิก โดยตัวเอกคือ เอ็มม่า คอลลินส์ (Tania Raymonde) นักชีววิทยาทางทะเลที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับผลของสภาวะอากาศโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ดูว่ามันจะส่งผลฉลามอย่างไรบ้าง
ทีนี้จู่ๆ ก็มีนักวิทยาศาสตร์อีกทีมหนึ่งโผล่มาที่เกาะ โดยหนึ่งในนั้นคือ ริชาร์ด (Nathaniel Buzolic) แฟนเก่าของเอ็มม่า พวกเขามาเพื่อตามหาฉลาม 3 ตัว โดยที่ไม่ยอมบอกจุดประสงค์ที่แท้จริงแบบแน่ชัด และในเวลาต่อมาเอ็มม่าก็ถึงได้รู้ว่าฉลาม 3 ตัวนั้นถูกทดลองตัดต่อพันธุกรรมครับ และความร้ายกาจของมันก็จัดว่ามหาศาลทีเดียว
ช่วงแรกผมว่าหนังโอเคอยู่ครับ ผมชอบฉากเปิดตัวที่หนังถ่ายให้เห็นโลเคชั่นที่กำลังจะกลายเป็นสถานที่เกิดเหตุในเรื่อง มันคือเกาะเล็กๆ กลางน้ำ ก็ดูน่าสนใจดี… แต่พอมานึกอีกที หนังมันก็มาทางเดียวกับภาคก่อนๆ นั่นแหละครับ ต่างแค่ 2 ภาคก่อนเหตุเกิดที่สถาบันวิจัยกลางทะเล ส่วนภาคนี้เป็นเกาะเล็กๆ กลางทะเล แต่ยังไงมันก็คือสถานที่เล็กๆ ที่ไร้คนช่วยกลางทะเลเหมือนกันน่ะแหละ
จุดชอบต่อมาคือฉากถ่ายใต้น้ำถ่ายมาได้สวยทีเดียวครับ ซึ่งผมชอบฉากใต้น้ำทำนองนี้อยู่แล้ว ก็ถ่ายให้เห็นถึงธรรมชาติใต้ทะเลที่งดงามดี
แต่พอผ่านช่วงต้นๆ ไป อะไรๆ ก็เริ่มย่ำของเก่าแล้วครับ นั่นคือเหล่าตัวละครต้องมาเผชิญกับฉลามที่ร้ายกาจ ซึ่งในแง่ความตื่นเต้นแล้วหนังจัดว่าน้อยกว่าภาคแรกเยอะอยู่ เพราะภาคแรกตัวละครต้องหนีตายกัน พยายามขึ้นจากสถานีใต้น้ำให้เร็วที่สุด แต่ภาคนี้มันไม่มีอะไรมาคอยบีบเค้นแบบนั้นครับ เพราะเรื่องเกิดบนเกาะ ยังไงฉลามก็เหาะมากินคนบนเกาะไม่ได้อยู่แล้ว ช่วงกลางเรื่องก็เลยใช้เวลาไปกับฉากตัวละครคุยกัน ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจนัก
ความรู้สึกหลังดู
จุดเด่นของหนังสยองขวัญ Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 เป็นเรื่องของ CGI และกราฟิกที่ถือว่าทำออกมาได้ดี (มีตลกบ้างเป็นบางฉาก) โดยเฉพาะฉลามที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดูดี และมีมุกตลกสอดแทรกที่พอจะทำให้รู้สึกขำได้บ้าง
ในส่วนของจุดด้อยหนังสยองขวัญ Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 โครงเรื่องถือว่าทำออกมาได้อ่อนแอ สคิปบทไม่ค่อยมีความน่าสนใจ การถ่ายถอดเรื่องราวก็ทำออกมาได้แย่และการแสดงเองก็อยู่แค่ในระดับมาตรฐานเท่านั้น ทำให้โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้ “เกือบสนุกสนาน” แต่แล้วก็ต้องล้มเหลวจากองค์ประกอบที่กล่าวถึงกันไปแล้วในข้างต้น
นอกจากนี้ยัง ยังมีความบกพร่องทางเทคนิคของสิ่งที่ปรากฏในหนังมากมายอย่างไม่น่าอภัย ทั้งในเรื่องของการว่ายน้ำ การดำน้ำ หุ่นยนต์ ปืนที่ระเบิดในน้ำได้และเรือที่ไม่ดี เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้งานได้ตามความเป็นจริงนัก
สำหรับผู้เขียนหนังสยองขวัญ Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 เป็นหนังที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มากมายนัก นอกจากเรื่องของความเฉลียวฉลาดของปลาฉลามที่น่าทึ่งพอสมควร แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ชวนว้าว! นัก
ดังนั้น หนังสยองขวัญ Deep Blue Sea 3 ฝูงมฤตยูใต้มหาสมุทร 3 อาจเป็นเพียงหนังที่เหมาะสำหรับการเก็บเอาไว้ดูในช่วงเวลาที่อาจไม่มีอะไรให้ดู แต่ถ้าหากมีเรื่องอื่นที่น่าสนใจมากกว่าก็เก็บเรื่องนี้ไว้ดุทีหลังได้ ไม่ต้องรีบร้อน…
เรื่องราวของทีมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่ได้เจอกับฉลามหัวบาตรที่ได้หลุดออกมาจากห้องทดลองจากการถูกตัดต่อพันธุกรรมการวิจัยด้านความจำเสื่อม โดยพวกมันมุ่งตรงมาทางพวกเขาในระหว่างที่พวกเขากำลังทำการสำรวจฉลามขาวใต้ทะเลอยู่ พร้อมทั้งฆ่าคนในบริเวณนั้นรวมทั้งฉลามขาวขนาดใหญ่สองตัว พวกเขาจึงต้องช่วยกันกำจัดพวกมันให้ได้
ดำเนินเรื่องไม่ต่อเนื่องจากภาคก่อนหน้า แต่มาในรูปแบบเดียวกันคือ เกี่ยวกับการวิจัยฉลามด้านเซลล์สมอง เพื่อรักษาโรคความจำเสื่อม แต่ภาคนี้จะเน้นไปที่ทีมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่อยู่ในหมู่บ้านริมทะเล ที่มีกลุ่มของทีมวิจัยฉลามด้านเซลล์สมองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
เนื่องจากฉลามที่ถูกทดลองตัดแต่งพันธุกรรมได้หลุดออกมาจากห้องทดลองของพวกเขา ซึ่งหนังจะเปิดเผยเรื่องราวในช่วงกลาง ๆ เรื่อง โดยช่วงเปิดเรื่องจะฉายถึงตัวละครหลักที่กำลังสำรวจฉลามใต้ทะเลอยู่ ซึ่งให้บรรยากาศเหมือนกำลังสำรวจไปพร้อมกับตัวละครด้วย วิวทิวทัศน์ใต้ทะเลสวยดี
โดยหนังจะเน้นไปที่การสำรวจ แล้วมีฉลามหัวบาตรหลุดเข้ามา จึงต้องช่วยกันกำจัด มีช่วงให้ลุ้น ชวนหวาดเสียวบ้าง แต่การดำเนินเรื่องค่อนข้างน่าเบื่อชวนหลับไปหน่อย เนื่องจากฉากพูดคุยกันของตัวละครค่อนข้างเยอะพอสมควร บางจุดพอเดาเรื่องได้บ้าง การใช้เอฟเฟกต์ยังไม่ค่อยเนียนเท่าไหร่
มีบางจุดที่ดูหักล้างกันบ้างจากการพูดและการกระทำที่ค่อนข้างตรงข้ามกัน การตัดสินใจของตัวละครบางครั้งยังไม่ค่อยสมเหตุสมผลและไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ สามารถรับชมได้ที่
ส่วนช่วงท้ายก็ดูโอเคขึ้นมานิดครับ มีอะไรให้ลุ้นบ้าง แต่ก็ไม่ได้เยอะอะไร แต่กระนั้นสิ่งหนึ่งเลยที่ต้องชมคือการถ่ายภาพนี่แหละครับ พวกฉากฉลามพุ่งเข้ามานั้นถ่ายได้โอเคดี อย่างตอนเอ็มม่าต้องเผชิญกับมันที่ใต้น้ำน่ะครับ ก็จัดว่าหวาดเสียวไม่น้อยเหมือนกัน
โดยรวมแล้วผมว่าโอเคกว่าภาค 2 ครับ เพราะภาค 2 นั้นองค์ประกอบหลายๆ อย่างมันไม่ค่อยถึงเครื่องนัก อย่างงานถ่ายภาพก็ธรรมดา ดาราก็ธรรมดา ความตื่นเต้นก็ไม่มาก (แม้จะมีฉากลุ้นแบบคอขาดบาดตายเยอะก็ตาม) ในขณะที่ภาคนี้ฉากมันดูโอเคขึ้น การถ่ายภาพก็ดูมีระดับขึ้น อย่างที่บอกครับช่วงต้นดูน่าสนใจ ฉากใต้ทะเลดูน่าสนใจ และตอนท้ายก็มีลุ้น แต่พอดีว่าช่วงกลางๆ เรื่องมันไม่ค่อยมีอะไรให้ติดตามน่ะครับ หนังเลยดูเอื่อยๆ เรื่อยๆ ไปสักหน่อย
หนังกำกับโดย John Pogue ครับ ซึ่งผมจดจำเขาได้จากงานเขียนบทใน U.S. Marshals ส่วนงานกำกับนั้นเขาก็เคยทำ Quarantine 2: Terminal มาก่อน ซึ่งถ้าว่ากันแบบตรงๆ แล้ว เรื่องนั้นดูจะโอเคกว่าเรื่องนี้อยู่หน่อยหนึ่งครับ
ก็ถ้าจะดูแบบไม่คิดมาก ก็ถือว่าพอได้ครับ แต่ก็บอกได้เลยว่าเอาเวลาไปดูภาคแรกใหม่ มันจะคุ้มเวลากว่ากันเยอะทีเดียว