รีวิว Apollo 10½: A Space Age Childhood
หลังจากที่มักจะหมกมุ่ในการทำหนังด้วยกรรมวิธีที่พิถีพิถัน “ริชาร์ด ลินเคลเตอร์” ผู้กำกับที่ได้ฉายาว่าเป็น ‘เจ้าพ่อหนัง Coming-Of Age ที่กลับมาอีกครั้งด้วยหนังแนวที่เขาถนัดเป็นอย่างดีใน “Apollo 10½: A Space Age Childhood” (อะพอลโล 10½: วัยเด็กยุคอวกาศ)
ที่ยังคงมาพร้อมกับคอนเซ็ปต์การเติบโตในช่วงวัยเยาว์ ที่ครั้งที่ปรับรูปแบบมาเป็นหนังแอนิเมชั่นด้วยเทคนิคโรโตสโคป ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวและนาทีประวัติศาสตร์ของโลก
Apollo 10½: A Space Age Childhood วัยเด็กยุคอวกาศ หนังแอนิเมชั่น Netflix เรื่องราวความฝันของเด็กคนหนึ่งในช่วงเวลาประวัติศาสตร์อเมริกาส่งมนุษย์ไปเหยียบดวงจันทร์ในโครงการอะพอลโล
Apollo 10 ½: A Space Age Childhood เล่าเรื่องราวของการลงจอดบนดวงจันทร์เป็นครั้งแรก เมื่อกลางปี 1969 จากสองมุมมองที่มีความเกี่ยวพันกัน เราจะได้เห็นภาพความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่นี้ผ่านสายตาของนักบินอวกาศกับศูนย์ควบคุมภารกิจ และเด็กคนหนึ่งที่เติบโตมาในเมืองฮูสตัน รัฐเทกซัส ผู้มีความฝันเกี่ยวกับเรื่องราวในอวกาศ
และนี่ก็กลายเป็นอีกหนึ่งผลงานอันงดงามของ ริชาร์ด ลินเคลเตอร์ อีกเรื่อง เขาสร้างผลงานชิ้นนี้มาจากบทหนังที่มาจากแนวคิดและไอเดียของตัวเองที่หยิบเอามาจากประสบการณ์ในอดีตที่เป็นเด็กเติบโตมาจากเมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส ที่กลั่นกรองออกมาได้อย่างคมคายไม่เบา จากข้อมูลทราบว่าเขาผุดไอเดียของหนังเรื่องนี้มาเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้สานต่อ เมื่อได้จังหวะที่ดีเขาจึงเริ่มเขียนบทอย่างจริงจังและลุยงานทันที
เดิมทีนั้น ริชาร์ด ลินเคลเตอร์ ตั้งใจจะสร้างหนังเรื่องนี้เป็นหนังฉบับคนแสดงตามปกติ แต่ปรากฏว่าในเวลาต่อมาเขาได้ปรับเปลี่ยนแผนและตัดสินใจทำออกมาเป็นรูปแบบหนังการ์ตูน ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากพวกการ์ตูนยามเช้าวันเสาร์ที่พวกเขาเคยดูตอนเด็ก ๆ ด้วยการใช้เทคนิคโรโตสโคป (rotoscoping) เป็นการวาดภาพตามต้นฉบับฟิล์มต่อเฟรมเพื่อสร้างความสมจริง โดยหนังบางส่วนมีการแสดงในรูปแบบไลฟ์แอคชั่นเอาไว้
การเล่าเรื่องของหนัง Apollo 10 ½: A Space Age Childhood เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ที่เข้าถึงได้ไม่ยากเลย เพราะคุณจะคล้อยตามไปกับเรื่องเล่าในอดีตและเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในช่วงยุคปี 1960s ต้องยอมรับเลยว่าหนังเรื่องนี้มีการเกริ่นที่ค่อนข้างยาวยืด แต่กลายเป็นจุดที่น่าสนใจและไม่น่าเบื่อเลย หนังใส่เกร็ดเล็กน้อยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ในสังคมยุคนั้นเข้ามาได้อย่างลงตัว ทำให้คนดูเพลินไปกับการสัมผัสเรื่องเล่าในอดีตผ่านไปครึ่งเรื่องแบบไม่รู้ตัว
แน่นอนว่าจุดแข็งในหนังของ ริชาร์ด ลินเคลเตอร์ ก็คงจะเป็นวิธีการเล่าเรื่องที่มักจะใส่กิมมิกที่น่าสนใจอยู่เสมอ และในเรื่องนี้เขาอาจจะไม่ได้ใช้เวลาเป็นทศวรรษในการสร้างหนังและเผยให้เห็นพัฒนาการของตัวละครที่เขามักจะทำในหนังตัวเอง แต่ผู้กำกับได้สร้างสรรค์เสน่ห์ในการเล่าผ่านสายตาของเด็กชายคนหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในวิทยาศาสตร์อวกาศ ร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องเล่าความฝันคลุกเคล้ากับประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริงอย่างลงตัว
แม้ว่าจะเป็นแอนิเมชั่นแต่เราแอบเห็นว่านักแสดงชั้นนำในเรื่องนี้อยู่หลายคนเชียว ไม่ว่าจะเป็น “แซคารี ลีวาย”, “เกลน โพเวลล์”, “จอช วิกกิ้นส์”, “อี เอ็ดดี้, “บิล ไวซ์” และนักแสดงเด็กหน้าใหม่ “ไมโล คอย” รวมทั้ง “แจ็ค แบล็ก” ที่มาบรรยายเป็นเสียงของตัวละครเด็กในวัยผู้ใหญ่ที่กลมกล่อมไปทั้งเรื่องอีกด้วย
คงต้องบอกว่าตลอดระยะเวลาชั่วโมงเศษ ๆ ของ Apollo 10 ½: A Space Age Childhood เหมือนหนังได้พาเราย้อนกลับไปถวิลหาวันวานแห่งอดีตอีกครั้งอย่างน่ามหัศจรรย์ ต้องขอบคุณการใส่รายละเอียดและเก็บเล็กเก็บน้อยในเศษเสี้ยวของวัฒนธรรมในยุคนั้นอย่างแท้จริงเข้ามาไว้ในเรื่องแบบคนรู้จริง ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นแอนิเมชั่นที่เล่าเรื่องได้สนุกและเพลิดเพลินตามได้ตลอดทั้งเรื่อง
กลับกลายเป็นว่าจากหนังที่เปิดดูแบบที่ไม่ได้คาดหวังใด ๆ ทั้งสิ้น กลายมาเป็นหนังแอนิเมชั่นเรื่องแรกของปีนี้ที่สามารถครองใจไปเต็ม ๆ ต้องยกย่องในเทคนิคการสร้าง และไอเดียในการเล่าเรื่องที่ออกมาได้อย่างจับใจ Apollo 10 ½: A Space Age Childhood จึงแอบเป็นหนังที่สร้างความเซอร์ไพรส์ให้เบา ๆ และถือว่าเป็นหนังที่มอบผลลัพธ์คืนมาได้เกินกว่าที่คาดคิดเอาไว้ไม่น้อยเลย…
รีวิว Apollo 10½: A Space Age Childhood
ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Apollo 10½: A Space Age Childhood
ประเภท: แอนิเมชั่น / ผจญภัย
ผู้กำกับ: ริชาร์ด ลินเคลเตอร์
นำแสดงโดย: ไมโล คอย, แซคารี ลีวาย, เกลน โพเวลล์
ความยาว: 98 นาที
หนังแอนิเมชั่นฝรั่งจาก Richard Linklater ผู้สร้างหนัง Boyhood ที่ถ่ายทำเด็กคนหนึ่ง 12 ปีเติบโตขึ้นมาตามเวลาจริง ซึ่งเป็นไอเดียที่แปลกประหลาดมากที่สุดเรื่องหนึ่งของวงการภาพยนตร์เลย มาคราวนี้เจ้าตัวก็หยิบจับไอเดียจากประสบการณ์ชีวิตวัยเด็กของตัวเองมาเล่าในยุคที่อเมริกากำลังมีโครงการอวกาศ “อะพอลโล” เพื่อไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก โดยมีจุดประสงค์หลักคือแข่งเอาชนะสหภาพโซเวียตให้ได้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็ได้กลายมาเป็นประวัติศาสตร์ด้านอวกาศครั้งสำคัญของโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ตัวหนังเล่าถึงเด็กน้อยคนหนึ่งวัย 10 ขวบ (ให้เสียงโดย Zachary Levi ที่เล่นชาแซม) ที่มีครอบครัวอยู่ที่เมืองฮิวสตัน ที่ตั้งของ Nasa และเขาได้ถูกนำตัวมาทำภารกิจลับโครงการอะพอลโล 10 ครึ่ง ก็คือก่อนที่อะพอลโล 11 ที่ นีล อาร์มสตรอง ไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรก ซึ่งเรื่องราวก็จะเป็นแนวจินตนาการด้านอวกาศของเด็กคนนี้ร่วมไปกับประวัติศาสตร์จริงของช่วง อะพอลโล 11 (16 กรกฎาคม ค.ศ. 1969) โดยเสมือนเขาได้ไปร่วมเป็นนักบินอวกาศลับของนาซ่าเพื่อทดสอบยาน 10 1/2 ที่ทางนาซ่าทำผิดพลาดเป็นไซส์เล็กมีแต่เด็กเข้าไปนั่งได้ ซึ่งตัวเรื่องก็ดำเนินไปในช่วงเวลาสั้นๆ ของปี 1969 แล้วไปจบที่เหตุการณ์เหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกตามที่ทุกคนรู้ๆ กัน
ความรู้สึกหลังดู
แต่สิ่งที่หนังเรื่องนี้แปลกออกไปก็คือ เรื่องอวกาศที่ว่าเหมือนเป็นแค่ส่วนประกอบเรื่องราวเท่านั้น เพราะตัวเรื่องจริงๆ เป็นการเล่าประสบการณ์วัยเด็กยุคนั้นมากกว่า คือตัวเรื่องเปิดมาว่าถูกชวนให้เข้าไปโครงการตั้งแต่เริ่มเรื่อง แต่กลับวกกลับมาเล่าใหม่ในทันทีว่ามาฟังเรื่องของชีวิตผมก่อนดีกว่า จากนั้นตัวหนังก็ร่ายยาวโดยใช้เสียงบรรยายประกอบ
ภาพถึงเกือบชั่วโมงเต็มๆ เป็นแนวเรโทรโอลสคูลบอกเล่าประสบการณ์ที่เด็กอเมริกาในฮิวสตันสมัยนั้นใช้ชีวิตกันยังไง ซึ่งก็มีรายละเอียดยิบย่อยมากมายเต็มไปหมดตั้งแต่โทรศัพท์แบบกดครั้งแรกถูกนำไปใช้เป็นเครื่องดนตรีกดเล่นของเด็กๆ การเล่นเกมกระดาน ปั่นจักรยาน โรงหนังไดร์ฟอิน รายการทีวีที่เด็กชื่นชอบ หนังดัง 2001 space
odyssey เพลงฮิต ฯลฯ ซึ่งเยอะสุดๆ และยาวมากถึงเกือบ 1 ชั่วโมงเต็มๆ ตัวเรื่องถึงจะวกกลับไปเรื่องเข้านาซ่าอีกครั้ง ซึ่งจุดนี้แหละที่เราคนไทยที่ถึงแม้จะโตมาในยุคนั้นด้วยก็ตามก็ยังไม่อินกับอะไรแบบนี้ได้แน่ๆ เพราะมันค่อนข้างไกลเกินตัวแบบไม่รู้จักแทบทั้งนั้น สิ่งที่หนังเรื่องนี้เล่าไม่ใช่แนวเรโทรแบบป๊อบคัลเจอร์ที่ทั่วโลกได้รับอิทธิพลตามๆ กัน
มาเลย มีน้อยมากไม่กี่เรื่องจริงๆ ที่อาจจะรู้สึกว่ามีแบบนี้ในไทย (อย่างพวกเด็กสร้างจรวดของเล่นเอง) ดังนั้นที่คะแนนเรื่องนี้ดีถึงดีมากในหมู่นักวิจารณ์ฝรั่งก็เพราะเป็นประสบการณ์ตรงร่วมยุคสมัยของอเมริกาโดยตรงนั่นเอง
แต่ถ้าโฟกัสที่เรื่องอวกาศตัวหนังทำได้ค่อนข้างดีเลย เพราะมีการเก็บรายละเอียดถึงเหตุการณ์เล็กน้อยในนาซ่านั้นมาเล่าได้สนุก อย่างการทดสอบร่อนลงจอดผ่านยานจำลองก็ทำเอานีลเกือบตาย แต่เขากลับยิ้มหน้าตาเฉยหลังดีดตัวออกจากเครื่องตกได้ทัน
คือพอหนังตัดกลับมาพาร์ทอวกาศช่วงท้ายตัวเรื่องก็มีความน่าสนใจขึ้นมาทันที และช่วงท้ายของเรื่องคือการที่ผู้ใหญ่ครอบครัวอเมริกันต่างเฝ้ารอร่วมใจกันลุ้นเหตุการณ์ผ่านการถ่ายสดกับรายงานผ่านทีวีตลอดวัน แต่เป็นการมองผ่านสายตาเด็กที่หลายคนก็ไม่อินกับเรื่องนี้ และน่าเบื่อมากที่โดนพ่อแม่ยึดทีวีไปหลายวัน แต่พอโตไปเป็นผู้ใหญ่พวกเขากลับหวนมานึกถึงให้ความสำคัญกับช่วงเวลานี้อีกครั้ง ซึ่งนี่ก็คือที่มาของเรื่องราวนี้จากตัวผู้กำกับเขียนบทเรื่องนี้นั่นเอง
ด้านงานแอนิเมชั่นเรื่องนี้จะเป็นแนวโรโตสโคปวาดภาพตามต้นฉบับ ซึ่งก็ใช้คนมาร่วมแสดงจริงด้วย แต่วาดซ้อนทับให้เป็นแอนิเมชั่น ซึ่งก็อาจจะดูแปลกๆ หน่อยสำหรับคนที่ไม่ชินภาพเคลื่อนไหวแบบนี้ แต่ก็เป็นเทคนิคที่ทางแอนิเมชั่นในเน็ตฟลิกซ์ใช้อยู่บ่อยๆ
เข้าใจว่าน่าจะเป็นการลดต้นทุนการสร้างแบบหนึ่ง เพราะเรื่องนี้ความตั้งใจเดิมคือสร้างเป็นภาพยนตร์คนแสดง แต่เปลี่ยนมาทำเป็นแอนิเมชั่นลงสตรีมมิ่งแทน เชื่อได้ว่าถ้าใครอยากหวนกลับไปนึกถึงห้วงเวลาในวัยเยาว์ที่มีความสุข หนังอย่าง Apollo 10½: A Space Age Childhood จะทำให้คุณยิ้มได้ไม่หุบกันเลยทีเดียวครับ
สรุป Apollo 10½ สนุกและดีไหม
ดูเพลินๆ สนุกในช่วงภารกิจอวกาศ แต่ในช่วงชีวิตส่วนตัวค่อนข้างน่าเบื่อเพราะไกลเกินตัวไปมาก แต่โดยรวมก็ยังเป็นหนังที่เล่าเรื่องประวัติศาสตร์อะพอลโล 11 ในมุมมองเด็กที่แปลกใหม่ดีมากเหมือนกัน