รีวิว The Lost Daughter
The Lost Daughter (ลูกสาวที่สาบสูญ) ภาพยนตร์แนวดราม่าจิตวิทยา ที่เขียนและกำกับโดยแม็กกี้ จิลเลนฮาล เรื่องราวของหญิงสาวที่สูญเสียลูกสาวของตน โดยเรื่องนี้เกิดจากการตื๊อขอซื้อลิขสิทธิ์จาก เอเลนา เฟร์รานเต เจ้าของนิยายในชื่อเดียวกันนี้ ซึ่งนอกจากจะได้ลิขสิทธิ์มาแล้ว ยังได้การยื่นคำขาดจากผู้เขียนด้วยว่า “แม็กกีต้องเป็นคนกำกับเท่านั้น”
เรียกได้ว่าเป็นการส่งท้ายปีแบบสะเทือนอารมณ์ไม่น้อยกับ The Lost Daughter ภาพยนตร์รางวัลที่เขียนและกำกับโดยคุณแม็กกี้ จิลเลนฮาล (พี่สาวของนักแสดงมากฝีมือ เจค จิลเลนฮาน) เรื่องราวของ The Lost Daughter
จะเล่าเกี่ยวกับหญิงสาววัยกลางคนที่ชื่อว่า เลด้า เธอคนนี้ได้ใช้เวลาหยุดพักผ่อนในเมืองเล็กๆที่ประเทศกรีซแต่แล้ววันพักผ่อนแสนธรรมดาของเธอนั้นกลับต้องเจอกับเรื่องราวสะเทือนอารมณ์ หลังจากได้เจอกับคุณแม่ยังสาวที่ชื่อว่า นีน่า และหญิงสาวแปลกหน้าคนนี้ก็ทำให้ตัวของเลด้าเองนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่แสนขื่นขมที่มันพร้อมระเบิดอารมณ์ของเธอเองได้ตลอดเวลา
ปีที่ออกอากาศ : ค.ศ. 2021
ประเภท : ภาพยนตร์อเมริกัน, ดราม่า
ผู้กำกับ : แม็กกี้ จิลเลนฮาล
นักแสดง : โอลิเวีย โคลแมน, ดาโกต้า จอห์นสัน, เจสซี บักลีย์, เอ็ด แฮร์ริส
ระยะเวลาการรับชม : 2 ชั่วโมง 2 นาที
ช่องทางการรับชม : Netflix
ภาษาในการรับชม : เสียงพากย์ : ไทย, อังกฤษ, ญี่ปุ่น | คำบรรยาย : ไทย, อังกฤษ, จีน,
ระดับความเหมาะสม : อายุ 18+
ต้องบอกนี้เป็นภาพยนตร์ที่เล่นกับอารมณ์คนดูได้อย่างดีเยี่ยมเลยทีเดียวการค่อยๆเล่าเรื่องราวต่างๆผ่านมุมมองของตัวละครที่ชื่อว่า เลด้า หญิงลูกสองวัย 48 ปี ที่ต้องการใช้เวลาไปกับวันหยุดพักผ่อนของเธอและจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องนี้คือการได้พบกับ นีน่า คุณแม่อายุน้อยที่ดูเหมือนจะมีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับลูกสาวตัวน้อยของเธอเองแถม
มันยังเป็นเอฟเฟ็กต์ส่งผลถึงการย้อนอดีตที่ยุ่งเหยิงของตัวเลด้าอีกด้วย ต้องบอกว่าเรื่อง The Lost Daughter สร้างจังหวะการเล่าไว้ค่อนข้างดีมากถึงแม้จะดูช้าไปเรื่อยๆแต่มันก็เปี่ยมไปด้วยพลังเหลือล้นเลยทีเดียวเหมือนกับว่าเรื่องราวทั้งหมดของภาพยนตร์จะถูกเล่าผ่านตัวละครอย่าง เลด้า เป็นหลัก (ซึ่งตัวละครนี้ค่อนข้างมีความซับซ้อนทางอารมณ์สูง) มันจึงทำให้อารมณ์และ Mood and Tone ของภาพยนตร์เองมีการสวิงขึ้นๆลงๆอยู่ตลอดเวลา
ความน่าสนใจอย่างต่อมาคืองานโปรดักชั่นที่มีความปราณีตเป็นพิเศษมุมกล้องที่ถ่ายทอดออกมามันดูเป็นธรรมชาติและยิ่งฉากที่กล้อง Close-up สีหน้าแววตาของตัวละครมันก็ยิ่งชวนให้คนดูอินกับเรื่องนี้เป็นทวีคูณเลยทีเดียว
ในส่วนประเด็นหลักของเรื่องที่ต้องการสื่อกับคนดูนั้นค่อนข้างเป็นอะไรที่ต้องตีความกันสักนิดหนึ่งบางคนดูจบแล้วอาจจะชอบมากแต่ถ้าใครที่ไม่ค่อยถูกจริตกับภาพยนตร์ประเภทนี้อาจมีเลิกดูตั้งแต่ครึ่งเรื่องแน่นอน ซึ่งดูเผินๆเมนหลักของ The Lost Daughter ต้องการจะสื่อเรื่องของความเป็นแม่แต่ถ้าจะลงลึกกว่านั้นมันก็มีทั้งประเด็นการใช้ชีวิตคู่ ประเด็นความไม่สมบูรณ์แบบ ประเด็นความรับผิดชอบที่มาพร้อมภาระหนักอึ้งอยู่บนบ่า เล่าผ่านการกระทำของตัวละครได้อย่างน่าสนใจ
เลด้าแสดงโดยคุณ โอลิเวีย โคลแมน เป็นตัวละครหลักในการเดินเรื่องทั้งหมดแถมคาแรคเตอร์ของเธอนั้นก็ค่อนข้างมีความซับซ้อนทางอารมณ์สูงและเห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของตัวละครเลด้าจะคอยส่งผลต่อบรรยากาศของเรื่องอยู่ตลอดเวลา
เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
รีวิว The Lost Daughter
งานกำกับชิ้นแรกๆ ของ Maggie Gyllenhaal ที่เขียนบทเองด้วย ออกมาไม่เลวเลย แม้ลีลาการดำเนินเรื่องจะค่อนข้าง slow burn อยู่สักหน่อย ปล่อยให้คนดูซึมซับความรู้สึกของตัวละครกันอย่างเต็มที่ ถ่ายภาพแบบแฮนด์เฮสด์อยู่เกือบตลอดเรื่อง นัยว่าจะพยายามส่งสารความรู้สึกของตัวละครหลักที่หวั่นไหวไม่แน่นอน ตกอยู่ในช่วงเวลาที่ยังดิ้นรนสับสน และหาคำตอบให้ตัวเองยังไม่ได้
ขณะเดียวกัน ก็เปิดเรื่องอย่างเชื่องช้า คนดูแทบจะไม่รู้เลยว่า หนังกำลังเล่าถึงอะไรจนเมื่อเวลาของหนังผ่านไปเป็นสิบนาที จึงมองเห็นเค้าลางบางอย่างในตัวเลด้า
ความสงบสุขในการมาเที่ยวทะเลครั้งนี้ เหมือนคนที่หนีอะไรสักอย่าง พยายามจะปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียว แต่กลับถูกรบกวนด้วยครอบครัวใหญ่ที่พยายามจะรุกล้ำพื้นที่ของเธอ แต่แล้ว เมื่อมองเด็กน้อยคนนั้นก็พลันไปสะกดต่อมอะไรสักอย่างในใจ จึงแสดงมันออกมาให้คนดูได้รู้ว่า ที่จริงเธอมีบางสิ่งติดอยู่ในใจ ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องลูกสาวทั้งสองของเธอ
เลด้า(วัยสาว) แสดงโดยคุณ เจสซี่ บักลีย์ อีกหนึ่งคาแรคเตอร์สำคัญที่คนดูจะเห็นเธอได้เวลาภาพยนตร์มีการแฟลชแบ็คความทรงจำในอดีตของเลด้าและต้องชื่นชมทีมงานจริงๆในการแคสติ้งนักแสดงเพราะมันไม่ง่ายเลยที่จะถ่ายทอดคาแรคเตอร์ออกมาให้มีความเชื่อมโยงกับนักแสดงเบอร์ใหญ่อย่าง โอลิเวีย โคลแมน และถึงแม้ทั้งคู่จะแสดงเป็น
ตัวละครคนเดียวกันแต่มันดูมีความแตกต่างอย่างชัดเจน การกระทำของเลด้าผ่านคุณ โอลิเวีย โคลแมน จะเน้นสีหน้าแววตา แต่พอเป็นเลด้าวัยสาวผ่านคุณ เจสซี่ บักลีย์ ทุกอย่างจะถูกเล่าออกมาทางร่างกายอย่างชัดเจน
มันเป็นเรื่องราวของหญิงวัย 48 อย่าง เลด้า (Olivia Colman จากหนังเรื่อง The Favourite, The Father และซีรีส์ The Crown) อาจารย์สอนวรรณกรรมที่เดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อนที่เมืองชายทะเลในประเทศกรีซเพียงลำพัง แต่ดูเหมือนทริปที่ดูแสนเงียบสงบของเธอจะกลายเป็นยุ่งเหยิงและน่าหงุดหงิด เมื่อเธอมองเห็นการมาถึงของครอบครัวใหญ่ที่เริ่มรบกวนรุกรานความสงบสุขของเธอ
เธอได้พบและรู้จักกับ นีน่า (Dakota Johnson จากหนังเรื่อง The High Note, Fifty Shades Freed และ A Bigger Splash) หนึ่งในครอบครัวใหญ่นั้น เธอเป็นแม่ของเด็กน้อยวัยกำลังน่ารักคนหนึ่ง ที่พาให้เธอหวนนึกถึงลูกสาวของตนเอง
จากนั้น หนังก็เริ่มเล่าสลับย้อนไปยังช่วงอดีต สมัยที่เธอยังอยู่กับสามี กับลูกสาวสองคน ทำให้เราได้เห็นเลด้าในวัยสาวที่เป็นลีลาการแสดงของ Jessie Buckley (จากหนังเรื่อง I’m Thinking of Ending Things และ Judy) และทำให้เราได้เห็นว่า เธอได้พบเจอกับช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดอย่างไรในช่วงวัยนั้น
การมีลูกสาวคงเป็นความสุขอย่างยิ่งยวดสำหรับคนเป็นแม่ แต่บางครั้งก็อาจสร้างรอยร้าวในใจเธอได้เช่นกัน ในวันเก่าที่เธอไม่อาจรับมือกับลูกสาวทั้งสองได้ดีพอ แถมยังมีจิตใจที่อ่อนไหวจนก่อเหตุผิดพลาดเอาไว้เสียอีก โจทย์ตรงนี้ก็ถือว่าเจสซี่เล่นเอาไว้ได้ดีพอสมควร
แต่ก็น่าเสียดายที่หนังเหมือนอยากจะพาเราไปเจออะไรแต่เมื่อไปถึงกลับไม่เจอ
ความรู้สึกหลังดู
หนังพาให้เราไปเจอกับ Ed Harris ที่ก็ดูแก่ลงไปมาก ได้เห็นลีลาการแสดงของเขาอีกครั้งกับบท ไลล์ ชายชราผู้ดูแลบ้านใหญ่ที่เลด้าเข้าไปพัก บทบาทที่เหมือนจะมีอะไร แต่ก็กลับไม่มีอะไร บางจุดก็ดูแปลกๆ ที่จับเข้ามาใส่แต่พาผู้ชมอึ้งไปไม่มีคำตอบ เรื่องราวดำเนินไปถึงจุดหนึ่ง ที่ไลล์พบเจอความลับของเลด้า นึกว่าจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนแต่ก็ทิ้งไว้ตรงนั้น บางทีก็นึกสงสัยอยู่ครามครันว่าใส่มาทำไม
พฤติกรรมและท่าทีของคนในครอบครัวของนีน่าเอง ก็ชวนสงสัยว่า พวกเขารู้สึกเช่นไรและมีผลอะไรในเรื่อง เพราะหนังก็ไม่ได้เล่าอะไรในมุมนั้นต่อ ชวนให้คนดูอย่างเรานั่งงงกันไป
หันมามอง โอลิเวีย โคลแมน กันบ้าง สิ่งที่เธอแสดงไว้ในหนัง บ่งบอกว่า เลด้าเป็นหญิงที่ยอมเก็บกดความรู้สึกไว้ข้างใน แต่ภายนอกได้แต่บอกว่าไม่เป็นอะไร อาจเป็นความรู้สึกผิดหรืออะไรสักอย่างที่คอยกระตุ้นเตือนให้เธอยังนึกถึงแต่เรื่องอดีต การแสดงของโอลิเวียนั้น เรียกได้เลยว่า แบกหนังเอาไว้เต็มๆ เรื่องราวที่ผู้ชมไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง และถูกบอกเล่าอย่างเรื่อยเอื่อย หากยังพอจะน่าติดตามไม่เททิ้งกลางทางนั้น
เป็นเพราะความสามารถของเธอแทบจะล้วนๆ
ทำให้เราทั้งรู้สึกสะเทือนใจไปด้วยกับผู้หญิงที่เป็นแม่คนนึงแต่ผิดหวังว่าการทำหน้าที่แม่ของตนเอง รักลูกอยากอยู่ใกล้ลูกแต่ก็ไม่อาจยอมรับความไร้อิสระ บวกกับความผิดพลาดที่เคยทำไว้เพราะจิตใจอ่อนแอ หรืออะไรก็แล้วแต่ จึงทำให้วันนี้ เธอจึงทำผิดอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจตนเอง
เรื่องราวค่อยเดินมาอย่างน่าสนใจมากขึ้น เมื่อหนังเริ่มตัดสลับเรื่องราวในอดีต และเดินมาจนถึงจุดพลิกผัน
ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุกภาคไทย
หนังอาจต้องการบอกถึงความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ ที่ยังคงจมจ่อมอยู่กับความผิดพลาดในอดีต และทริปครั้งนี้ อาจเป็นอีกครั้งของการหนีไปเพื่อค้นหาคำตอบอะไรสักอย่าง แม้สิ่งที่ทำไปจะกลายเป็นความผิดซ้ำซาก แต่ก็เหมือนจะให้คำตอบกับเธอในบั้นปลาย
อีกส่วนหนัง ก็อาจมีพล็อตรองที่เกี่ยวกับโลกที่ผู้หญิงต้องเผชิญในสังคมชายเป็นใหญ่ ดูเหมือนสามีจะไม่ได้ช่วยดูแลลูกมากนัก จนเธออ่อนใจกับการรับมือลูกสาวทั้งสองในเวลาเดียวกัน อีกทั้ง ชีวิตในบ้านก็อาจบั่นทองหนทางก้าวหน้าในการเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จนทำให้เธอต้องตัดสินใจอะไรผิดพลาดเช่นนั้น การเลือกเอาตัวเข้าแลกโดยไม่คิดถึงผลที่จะตามมา เป็นเหตุให้จิตใจเธอต้องทุกข์ทนเป็นวังวนจนก่อเหตุเช่นในหนัง
แม้สุดท้าย จะไม่ได้คำตอบที่หนักแน่นมากนัก แต่ก็คลี่คลายได้ในระดับหนึ่ง
รายละเอียดเกี่ยวกับหนัง
ชื่อภาพยนตร์ The Lost Daughter / ลูกสาวที่สาบสูญ
ผู้กำกับ Maggie Gyllenhaal
ผู้เขียนบท Maggie Gyllenhaal
นักแสดง Olivia Colman, Jessie Buckley, Dakota Johnson, Ed Harris, Peter Sarsgaard
แนว/ประเภท Drama
เรท R
ความยาว 121 นาที
ปี 2021
เข้าฉายในไทย 31 ธันวาคม 2021 [ใน Netflix]
ผู้ผลิต/ผู้จัดจำหน่าย Endeavor Content , Samuel Marshall Films, Pie Films, Faliro House Productions