รีวิว Moon Knight
มินิซีรีส์ 6 ตอนจบเรื่องราวซูเปอร์ฮีโร่จากอียิปต์ที่โดดเด่นด้วยตัวเองแบบสแตนด์อโลน ผ่านเรื่องราวตัวเอกหลายบุคลิกแบบที่ไม่เคยมีซูเปอร์ฮีโร่เรื่องไหนทำมาก่อน
ซีรีส์มาร์เวลที่เป็นเอกเทศแยกออกมาจากเรื่องอื่น โดยไม่ต้องติดตามเรื่องไหนในมาร์เวลมาก่อน เล่าเรื่องราวของ สตีเว่น แกรนท์ (นำแสดงโดยออสการ์ ไอแซค) ชายหนุ่มผู้เป็นโรคหลายบุคลิก ในเวลาปกติเขาคือคนขายของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อียิปต์ แต่อีกร่างหนึ่งเขาเป็นทหารรับจ้างที่มีชื่อว่า มาร์ค สเปคเตอร์
และมาร์คยังเป็นร่างอวตารของเทพคอนซู เทพเจ้าอียิปต์เก่าแก่ที่คอยลงทัณฑ์ผู้กระทำความผิดชั่วช้าสามานย์ให้ถึงแก่ความตาย โดยมีเป้าหมายหยุดยั้งเทพอัมมิตที่ตัดสินโทษแตกต่างจากคอนซู โดยที่สตีเว่นไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นนี้
ซีรีส์ Marvel รสชาติแปลกใหม่ บ้าบินหลุดกรอบแบบเดิม สร้างความรู้สึกดีมากๆเมื่อได้ดี การจัดวางพระเอกตัวร้ายดูมีน้ำมีเนื้อ ซาวด์ประกอบเข้ากับเนื้อหาซีรีส์มาก ดูเถอะไม่ผิดหวังแน่ๆ
ตัวซีรีส์เรื่องนี้แตกต่างจากซูเปอร์ฮีโร่เรื่องอื่นของมาร์เวลค่อนข้างมาก อย่างที่เห็นชัดเลยคือการสำรวจเจาะลึกแบบเข้มข้นกับตัวเอกของเรื่องมากกว่าเรื่องไหนๆ ซึ่งผู้กำกับ Doug Moench เองก็เคยมีผลงานก่อนนี้เป็นอนิเมชั่น Harley Quinn ของค่าย DC มาก่อน ซึ่งก็เหมือนงานลองเชิงก่อนมาเป็นซีรีส์คนแสดงจริงเรื่องนี้
ซึ่งเป็นการสำรวจจริงจังลงลึกไปยังก้นบึ้งตัวละครนี้ที่เป็นโรคหลายบุคลิกโดยตรง โดยยังไม่ต้องเอาเรื่องของความเป็นซูเปอร์ฮีโร่ที่ได้พลังจากเทพอียิปต์มาเกี่ยวเลยก็ได้ ความน่าสนใจของตัวพระเอกในยามเป็นมนุษย์ที่มีหลายร่าง สตีเว่นผู้ใสๆ ซื่อบริสุทธิ์จริงใจกับทุกอย่างกับมาร์คที่เป็นทหารรับจ้างฆ่าคนมานับไม่ถ้วน แถมยังทำงานรับใช้คอนซูฆ่าคน
ที่ตัวเองก็ไม่ได้ไปเกี่ยวข้องด้วยอีก นอกจากนั้นยังมีร่างอื่นที่จะเปิดเผยตามมาอีก ซึ่งก็ยิ่งโหดกว่า นองเลือดกว่า ตั้งแต่ EP แรก มูนไนท์ก็ถ่ายทอดตรงนี้ออกมาให้คนดูได้รู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ธีมบันเทิงล้วนๆ แบบที่มาร์เวลเรื่องอื่นเป็น แต่ก็ไม่ใช่ว่าเรื่องราวจะเครียดมาก เรื่องสามารถผ่อนหนักเบาลงได้ตามจังหวะลงตัวมาก และความน่าสนใจจากการเป็น
บุคลิกซ้อนในเรื่องที่ไอแซคแสดงก็มีเสน่ห์ดึงดูดให้คนดูสนใจเรื่องราวความแตกต่างของ 2 ตัวละครนี้ในคนเดียวกันได้มากกว่าเนื้อหาส่วนอื่นๆ ซึ่งผู้ชมจะได้ค่อยๆ รู้จักทั้ง 2 ตัวตนลึกลงเรื่อยๆ แล้วค่อย หลงรักตัวละครนี้ไปอย่างไม่รู้ตัวได้เลย
ในขณะเดียวกันร่างมูนไนท์ที่เป็นซูเปอร์ฮีโร่ก็ไม่ได้ออกมาในแนวช่วยเหลือผู้คน แต่เป็นการตามล่าล้างปิดบัญชีโหดกับฝ่ายของตัวร้ายที่มีเป้าหมายปลุกเทพอัมมิตขึ้นมา กึ่งๆ เป็นแอนตี้ฮีโร่ก็ว่าได้ โดยมีชุดรบสีขาวที่ได้จากเทพมาใช้ทั้งในร่างของมาร์คกับสตีเว่นแยกขาดจากกันทั้งความสามารถพิเศษที่ชุดมูนไนท์ของมาร์คจะครบเครื่องกว่าสตีเว่น ที่
ออกแนวต๊องๆ ตลกๆ แต่ก็มีความสามารถจริงจังในระดับหนึ่ง ด้วยความที่เป็นซีรีส์ทุนจึงไม่ได้สูงมากแบบหนัง ในส่วนนี้จึงไม่ได้ถูกใส่มาแบบแอ็กชั่นเว่อร์วังอะไรมาก แต่ก็มีฉากให้เราได้ลุ้นสนุกไปกับการใช้ร่างนี้ทุกตอนอยู่ เป็นแนวต่อกรกับลูกกระจ็อกมอนสเตอร์อียิปต์กับแนวผจญภัยหาสุสานแบบอินเดียน่าโจนส์ ซึ่ง CG ก็ไม่ได้เนียนกริ๊บอะไรมาก แต่
ก็ไม่ได้ถึงกับเห็นชัดแล้วเสียอารมณ์อะไร ถ้าเป็นคนดูซีรีส์มาจะเข้าใจระดับ CG ของซีรีส์อยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ติดดูหนังโรงมาก็อาจจะรู้สึกว่า CG เรื่องนี้ไม่ดีพอ ซึ่งก็ไม่ผิดแล้วแต่มุมมองความคาดหวังส่วนตัวครับ
นอกจากนี้แล้วตัวละครอื่นอย่าง เลย์ล่าในบทบาทนางเอก (รับบทโดย May Calamawy) ก็มีความสำคัญกับเรื่องไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน มูนไลท์นำเสนอเรื่องราวความรักของคนเป็นโรคหลายบุคลิกออกมาได้โรแมนติกแบบไม่ต้องเน้นฉากเลิฟซีนหวานชื่นอะไร เลย์ล่าผู้แต่งงานกับมาร์ค ล่วงรู้ความลับเรื่องมูนไนท์ของมาร์ค และทิ้งเธอไปอย่างไม่มี
เหตุผล จนมาพบกับสตีเว่นที่บุคลิกทุกอย่างตรงข้ามกับสามีเธอหมด เรื่องราวนำเสนอความโรแมนติกแบบเบาๆ ให้คนคาดเดากันเองว่าเธอมีใจให้กับใครกว่ากัน และตัวละครนี้ยังมีเซอร์ไพรซ์ปิดท้ายในตอน 6 ที่ว้าวกว่าตัวมูนไนท์ที่มีบทบาทมาทั้งเรื่องเลยทีเดียว รีวิวหนังฝรั่ง
รีวิว Moon Knight
ในส่วนตัวร้ายของเรื่องได้พระเอกรุ่นเก๋าอย่างอีธานฮอว์คมาเล่นในบท แฮร์โรว์ อวตารของอัมมิตเทพคู่อริคอนซู บทบาทนี้เป็นตัวร้ายมาร์เวลในแบบเจ้าลัทธิที่บงการชี้นำคนด้วยอุดมการณ์สีเทาๆ ของตัวเอง โดยใช้แนวทางของเทพอัมมิตที่ตัดสินคนจากการหยั่งรู้ว่ามีความผิดในชีวิตทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต เข้ามาเกี่ยว ซึ่งเป็นตัวร้ายที่ดูมีมิติ
แตกต่างออกไปอย่างน่าสนใจ ซึ่งคนดูส่วนหนึ่งก็อาจจะรู้สึกเข้าข้างอุดมการณ์ของเขาไปเลยก็ได้ แม้ในเรื่องจะแสดงให้เห็นว่ามันไม่ถูกต้อง แอบสะท้อนสังคมโซเชียลในปัจจุบันที่คนเป็นศาลเตี้ยโซเชียล พิพากษาคนจากการรับรู้เรื่องราวด้านเดียว โดยไม่ต้องการรอให้เรื่องนี้กระจ่างในชั้นศาลในแบบเดียวกัน ต่างกับมูนไนท์ที่รอให้ความผิด
กระจ่างค่อยเป็นศาลเตี้ยตัดสิน ซึ่งจริงๆ นี่ก็ผิดอีกแบบเช่นกัน เรื่องนี้จึงเป็นการปะทะกันของความเชื่ออุดมการณ์ส่วนตัวของเทพทั้งสององค์ ซึ่งตัวอีธานเองก็สวมบทบาทตัวร้ายนี้ได้อย่างมีคลาส เขาดูสูงส่งแบบชั่วร้ายไปพร้อมกัน และนอกจากนี้ยังมีอีกบทบาทในตอนหลังเป็นตัวตนที่ต่างออกไปจากปกติ ซึ่งอีธานก็เล่นบทบาทนั้นโดยยังเชื่อมโยงกับบทเจ้าลัทธินี้ได้อย่างเนียนๆ
ความรู้สึกหลังดู
สตีเวน แกรนท์ ชายหนุ่มที่ทำงานในพิพิธภัณฑ์อียิปต์เพราะความหลงรักในเรื่องราวของอียิปต์โบราณ แต่เขาดันมีปัญหานั่นก็คือ การนอนหลับ เนื่องจากปัญหาการนอนหลับและเห็นภาพแปลกๆทำให้กระทบต่อชีวิตการทำงานและความรักของเขา จนวันหนึ่งเขาตื่นมาพบว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้และถูกตามยิง แล้วเขาเริ่มได้ยินเสียงที่สั่งให้เขาทำนู่นทำนี่ อาการที่วูบเป็นพักๆ เมื่อไหร่ที่เขารู้สึกตัวก็พบว่ามือเขาเองเปื้อนเลือดไปแล้ว วันหนึ่งคนที่ตามยิงสตีเวน ตามมาถึงที่ที่เขาทำงานอยู่และปล่อยสัตว์ประหลาดให้มาทำร้ายเขา และนั่นคือครั้งแรกที่สตีเวนพบกับมาร์ค สเปคเตอร์ ร่างอวตารอีก 1 บุคลิก ที่มาอาศัยอยู่ในร่างของเขานั้นเอง
จุดด้อยของเรื่องนี้นอกจาก CG ที่ไม่ได้เนี๊ยบอย่างที่บอกไป โดยรวมก็ไม่ถึงกับมีตำหนิอะไรมาก เรื่องดูเพลินๆ แต่ด้วยความที่เรื่องไม่ได้เน้นแอ็กชั่นแต่ไปทางดราม่าจิตใจตัวละคร เรื่องราวก็อาจจะดูเรื่อยๆ ไปบ้างไม่ถึงกับสนุกกับฉากแอ็กชั่นสุดๆ ในแนวซูเปอร์ฮีโร่ ตอนจบก็รวบรัดตัดจบง่ายๆ แอบรู้สึกเหมือนงบไม่พอสร้างฉากตูมตามมากไปกว่านี้ บางจุดก็อาจจะมีอะไรแปลกๆ อย่างตอนหลังที่นางเอกสวมผ้าคลุมปิดครึ่งหน้าเดินติดตามตัวร้ายไปทุกที่แบบจำกันไม่ได้ พวกนี้อาจจะดูบทอ่อนง่ายๆ แต่ถ้าไม่ได้คิดอะไรมากก็หยวนๆ มองข้ามได้ครับ
เรื่องนี้ถูกวางไว้เป็นมินิซีรีส์ 6 ตอนจบในตอนแรก แต่ในตอนท้ายของเอนด์เครดิตก็มีเรื่องราวที่ทิ้งค้างไว้ทำต่อ ซึ่งก็ต้องรอมาร์เวลยืนยันว่าจะไปต่อในรูปแบบไหนต่อไป หนังโรงหรือซีรีส์ซีซั่น 2 ครับ แต่ที่แน่ๆ คือนี่เป็นซีรีส์ที่ใครที่โหยหาเรื่องแนวเอกเทศแบบที่มาร์เวลไม่ยอมทำออกมาเพราะขายความเชื่อมโยงมาตลอดสิบปี ถือได้ว่ามาร์เวลทำได้ถึงในตัวเองเลยโดยไม่ต้องพึ่งบุญเก่า และก็อยากให้มีเรื่องสแตนด์อโลนเล่าเรื่องราวเดี่ยวแบบเข้มๆ แบบนี้เพิ่มมาอีกครับ
บอกเลยว่านี่น่าจะเป็นฮีโร่สุดเฮี้ยนที่มาพร้อมกับความสนุกสนานแบบที่เราไม่ต้องคาดหวังหรือคาดเดาอะไรเลย การหยิบตัวละครที่ไม่เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังมาสู่จอแก้วเลยทำให้ทีมงานสร้างสรรค์ให้เรื่องราวออกมาตลกซับซ้อนมีหลากหลายเรื่องราวให้คนดูได้ติดตามไปได้ยาวๆ 6 ตอน การปูเรื่องราวให้รู้จัก สตีเวน แกรนท์ ทีพบว่าตัวเองมีหลาย
บุคลิก การเจอปัญหานอนไม่หลับ จับพลัดจับผลู กลายเป็นฮีโร่ที่ต้องมาร่วมร่างกับ มาร์ค สเปคเตอร์ สิ่งที่ต้องให้เครดิตซีรีส์ชุดนี้คือการเล่าเรื่องผ่าน Oscar Isaac ที่ต้องเล่นเป็นคน 3-4 บุคลิกมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลยที่ต้องมาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนตัวเองเป็นคนหลายคาแรกเตอร์มันเลยทำให้เนื้อหาซับซ้อนตามไปด้วย ชายติ๋มๆ ผู้ชายแข็งแกร่งเด็ดเดี่ยว หรือการสวมยูนิฟอร์มเป็นฮีโร่ เขาแบกเรื่องราวได้ตลอดรอดฝั่ง บทจะฮาก็ฮาบทจะบู๊ก็ดุดัน
เนื้อหามันค่อนข้างจะมีเอกลักษณ์แบบเฉพาะตัวมันค่อนข้างจะซับซ้อนไม่ได้เน้นความเป็นฮีโร่เพี้ยนๆแอ็คชั่นพาผู้ชมไปสำรวจจิตใต้สำนึกของ Steven Grant และ Marc Spector ในโลกหลังใกล้ความตาย แถมตัวซีรีส์เองก็ยังไม่ได้เฉลยปมปัญหาทั้งหมดอย่างชัดเจน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ชมได้มาร่วมพูดคุยและคาดเดาเนื้อเรื่องได้อย่างอิสระ แถม
พล็อตยังพาคนไปสัมผัสตำนานเทพอียิปต์โบราณผ่านเรื่องราวการผจญภัยของตัวละครหลัก มันทำให้ทุกอย่างขยายเรื่องราวในวงกว้าง แถมการไม่ผูกเรื่องราวกับจักรวาลอื่นของ MCU ไม่พยายามที่จะผูกปมปัญหาไว้เพื่อนำไปต่อยอดในภาพยนตร์หรือซีรีส์เรื่องอื่นๆ ในอนาคตมากจนเกินไป
การวางพล็อตเรื่อง 6 ตอนโปรดักชั่นทำได้ดีเกินคาด งานภาพตัวละครจริงๆกับ CGI ทำออกมาได้เนียนกริบ การใช้ฉากหนังดีไซน์ออกมาเป็นอียิปต์ตามท้องเรื่องที่มีตำนานมากมาย มันทำให้ธีมแตกต่างจากงาน MCU เนื้อหาสอดคล้องกันตีความออกมาได้กลมกล่อม ตัวละครที่ปรากฏตัวออกมาแต่ละฉากสามารถสร้าง Impact ให้ผู้ชม
คือมันตาดเดาอะไรไม่ได้ตลอดทุกตอน เนี่ยแหละคุณภาพจริง แค่การปรับ Ethan Hawke ในบทวายร้ายก็มีความน่ากลัวมากๆแล้ว มีเสน่ห์ น่าเกรงขาม หรือจะเทพคอนชู องค์ประกอบจากตอนแรกๆไปจนถึงตอนสุดท้ายมันไต่ระดับความมันส์ ซาวด์ประกอบเองก็ช่วยบิ้วอัพได้เยอะ เทคนิคงานภาพมุมกล้องก็เล่าเรื่องออกมาดี การตัดต่อการรวดเร็วฉับไหว ทำให้คิวบู๊ในเรื่องดูแล้วไม่เสียอรรถรส
โดยในซีรีส์ได้ทีมผู้กำกับ 3 คนมาร่วมกันกำกับมินิซีรีส์ความยาว 6 ตอนนี้ ทั้ง ‘จัสติน เบนสัน’ (Justin Benson) และ ‘อาร์รอน มัวร์เฮด’ (Aaron Moorhead) ผู้กำกับคู่หูจากภาพยนตร์ ‘Synchronic’ (2019) และ ‘โมฮัมเหม็ด ดิอับ’ (Mohamed Diab) ผู้กำกับชาวอียิปต์แต๊ ๆ ที่เคยกำกับภาพยนตร์ ‘Clash’ (2016) มารับหน้าที่กำกับ Ep.1 ก่อนใครเพื่อน และยังมี ‘เจเรมี สเลเตอร์’ (Jeremy Slater) ผู้ผ่านงานเขียนบท ‘The Umbrella Academy’ (2019) และ ‘Fantastic Four’ (2015) มารับหน้าที่เขียนบท
ซีรีส์ซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลแบบสแตนด์อโลนเรื่องแรกเลยที่ไม่ใช้ความเชื่อมโยงของเรื่องไหนมาช่วย นับว่ามาร์เวลทำสำเร็จกับการสร้างซีรีส์ที่โดดเด่นเป็นเอกเทศของตัวเองได้อย่างน่าจดจำจากตัวเอกโรคหลายบุคลิก ซึ่งเรื่องก็ใช้จุดขายตรงนี้ให้น้ำหนักลงลึกสำรวจจิตใจตัวละครความเป็นมนุษย์ออกมาในหลายๆ มิติ เน้นการแสดงของทั้งตัวเอกตัวร้าย
ในร่างความเป็นมนุษย์ที่ยึดติดกับอุดมการณ์สีเทาๆ มากกว่าฉากแอ็กชั่นเว่อร์วังของมาร์เวล ซึ่งถ้าคนชอบแนวทางนี้ก็ถูกใจเลยแแต่ถ้าใครชอบสายเอนเตอร์เทรนฉากบู๊ตามสูตรก็อาจจะไม่โดนใจมากนัก แต่เรื่องก็ไม่ได้มีจุดด้อยตรงไหนให้น่าตำหนิ ยกเว้นพวก CG ที่ไม่เนี๊ยบนักในระดับสเกลซีรีส์ ที่คนดูหนังโรงมาร์เวลมาอาจจะคาดหวังมาตรฐานไว้สูงลิบครับ