รีวิว Money Heist: Korea – Joint Economic Area
สวัสดีจ้าวันนี้แอดจะมารีวิวหนังเรื่อง รีวิว Money Heist: Korea – Joint Economic Area ซีรีส์ใน Netflix บางเรื่องโด่งดังไปทั่วโลก มีคนเปิดดูมหาศาล แต่นายแพทก็ไม่ได้ติดตามดู จนวันนึง มันถูกหยิบจับมารีเมกใหม่ในแบบซีรีส์เกาหลี คราวนี้ นายแพทกลับเลือกจะดูซะงั้น ส่วนหนึ่งก็อาจจะถูกจริตกับซีรีส์เกาหลีมากกว่า มีนักแสดงหน้าตาคุ้นเคย พูดด้วยภาษาที่คุ้นหู (แม้จะฟังไม่ออก) อีกทั้งพาร์ทแรกมันมีแค่ 6 ตอน นับว่าไม่มากไม่น้อย พอติดตามดูให้จบได้ เลยขอหยิบมาเขียนถึง ‘Money Heist: Korea – Joint Economic Area’ ชื่อไทย ‘ทรชนคนปล้นโลก: เกาหลีเดือด’ นั่นไงล่ะครับ
งานนี้ ถ้าใครที่เคยดู ‘Money Heist’ เวอร์ชันสเปนมาก่อนก็คงเหมือนได้รู้เรื่องราวเดิม แต่อยู่ในสถานการณ์ใหม่ ประเทศใหม่ และหน้าตาตัวละครใหม่ๆ แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยดูมาก่อน หรือเคยผ่านแบบผิวเผินก็คล้ายเป็นการทำความรู้จักกันใหม่แต่ไม่ทั้งหมด อาจมีบ้างที่เราได้เห็นตามโลกโซเชียลต่างๆ ที่มักจะแชร์คลิปแชร์ภาพกันว่อน
ภาพจำของแก๊งปล้นแก๊งนี้จึงอาจจะไม่ใช่สิ่งใหม่ในชีวิต
เหตุการณ์ในเวอร์ชันนี้จะเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี กับสถานการณ์ที่เกาหลีเหนือและใต้กำลังประสบความสำเร็จในการรวมชาติ คนจากฝั่งเหนือ-ใต้สามารถจะไปมาหาสู่กันได้ และมีการสร้างเมืองใหม่ที่อยู่ตรงพื้นที่พรมแดนระหว่างสองฝั่ง แต่ก็ดูเหมือนว่า ระบบทุนนิยมจะไม่ได้ทำอะไรแปรเปลี่ยนไปมากนัก คนรวยก็กลับรวยยิ่งขึ้น คนจนก็ยังต้องกระเสือกกระสนเหมือนเดิม จนเกิดกลุ่มแก๊งโจรกรรมที่คิดการใหญ่ขึ้น
แก๊งนี้ประกอบไปด้วยแกนนำอย่าง ศาสตราจารย์ (Yoo Ji Tae/ยูจีแท จากซีรีส์ ‘When My Love Blooms’ และ ‘Mad Dog’) ผู้อยู่เบื้องหลังสิ่งที่จะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การโจรกรรม เป็นเหมือนมันสมองคอยคิดแผนและประสานงานการปล้นครั้งใหญ่ที่เป้าหมายคือเงินจำนวนสี่ล้านล้านวอนในโรงกษาปณ์ แต่เขาจะต้องมีทีมเสียก่อน
เขารวบรวมยอดฝีมือในด้านต่างๆ มาจากทั้งฝั่งเหนือและใต้ และให้ทุกคนมีนามแฝงของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น เบอร์ลิน (Park Hae Soo/พัคแฮซู จากซีรีส์ ‘Chimera’, ‘Squid Game’ และ ‘Prison Playbook’) นักโทษชื่อกระฉ่อนผู้หลบหนีออกจากคุกในเกาหลีเหนือได้สำเร็จ เขาคือผู้นำแก๊งโจรขณะอยู่ในโรงกษาปณ์, โตเกียว (Jun Jong Seo/จอนจงซอ จากหนัง ‘The Call’ และ ‘Burning’) หญิงสาวชาวเกาหลีเหนือที่เชื่อมั่นในตัวศาสตร์เป็นที่สุด, ริโอ (Lee Hyun Woo/อีฮยอนอู จากซีรีส์ ‘Moorim School’) มือแฮ็กเกอร์ที่ยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่, มอสโก (Lee Won Jong/อีวอนจอง จากซีรีส์ ‘Strongest Deliveryman’) ผู้ได้รับหน้าที่ขุดอุโมงค์สร้างเส้นทางหลบหนี เขาเป็นพ่อของ เดนเวอร์ (Kim Ji Hoon/คิมจีฮุน จากซีรีส์ ‘Flower of Evil’) คนที่อ่อนไหวแต่ชอบระเบิดอารมณ์, ไนโรบี (Jang Yoon Ju/จางยุนจู) นักต้มตุ๋นจอมขโมยซีนผู้เอาแต่ใจ อีกสองคน คือ เฮลซิงกิ (Kim Ji Hoon/คิมจีฮุน) และออสโล (Lee Kyu Ho/อีคยูโฮ) สองคนนี้เคยเป็นสมาชิกแก๊งในเหยียนเปี่ยนมาก่อน รีวิวหนังฝรั่ง
รีวิว Money Heist: Korea – Joint Economic Area
โดยระหว่างภารกิจการปล้น พวกเขาจะสวมชุดสีแดงและพกหน้ากากสีขาวที่กลายเป็นภาพจำของผู้คน
แต่การปล้นครั้งนี้ก็ไม่ได้ง่าย เพราะอีกฝ่ายมี ซอนอูจิน (Kim Yunjin/คิมยุนจิน) สารวัตรผู้เชี่ยวชาญด้านการเจรจา เธอถูกเรียกตัวมาเพื่อช่วยแก้สถานการณ์การจับตัวประกันครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่อีกด้านหนึ่งเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงสิทธิในการเลี้ยงดูลูก มีแม่ที่กำลังเป็นโรคอัลไซเมอร์ และเธอกำลังดำเนินความสัมพันธ์ครั้งใหม่กับชายเจ้าของร้านกาแฟ
การปล้นครั้งนี้กลายเป็นเกมทางจิตวิทยาระหว่างแก๊งโจรปล้นเงิน กับตำรวจที่พยายามช่วยเหลือตัวประกันให้รอดปลอดภัย
ก่อนจะกลายมาเป็นซีรีส์ในเวอร์ชันเกาหลี ทุกคนต่างรู้ดีอยู่ก่อนแล้วว่า มันเป็นเรื่องราวที่ใช้ตัวละครเยอะ ในเวอร์ชันเกาหลีนี่ก็เช่นกัน นอกเหนือจากตัวละครในเรื่องย่อที่ว่ามาข้างต้นแล้ว ก็ยังมีตัวละครอีกมากมายที่ยังไม่ได้ถูกพูดถึง
ตัวละครสำคัญที่ร่วมทำให้ภารกิจปล้นครั้งมโหฬารนี้มีสีสันมากขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น ผู้อำนวยการโรงกษาปณ์อย่าง โจยองมิน (Park Myoung Hoon/พัคมยองฮุน จากหนัง ‘Deliver Us From Evil’ และ ‘Parasite’) ที่ค่อนข้างมีบุคลิกย่ำแย่ แม้จะเป็นผู้นำแต่ก็เป็นนักฉวยโอกาสและเห็นแก่ตัว เขาจะสนใจแต่ความอยู่รอดของตนเอง คือคนที่แอบคบชู้กับลูกน้องอย่าง ยุนมีซอน (Lee Joo Bin/อีจูบิน จากซีรีส์ ‘Doctor Lawyer’ และ ‘Find Me in Your Memory’) เธอคนจากฝั่งเหนือที่กลายมาเป็นผู้ช่วยผู้จัดการโรงกษาปณ์ เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่จะพลิกผันสถานการณ์ของแก๊งโจรให้ปวดหัวได้พอๆ กับยองมิน ชู้รักของเธอ
นอกจากนี้ก็ยังเด็กสาวอย่าง แอนน์ คิม (Lee Si Woo/อีซีอู จากซีรีส์ ‘Doctor Lawyer’ และ ‘Find Me in Your Memory’) ลูกสาวของทูตสหรัฐฯ คนที่อาจเรียกได้ว่าสวยที่สุดในเรื่อง และค่อยๆ มีบทบาทมากขึ้นทุกที
ด้านฝ่ายตำรวจที่อยู่ด้านนอกก็ไม่แตกต่างจากด้านในที่รวมเอากลุ่มคนทั้งที่มาจากเกาหลีเหนือและใต้ สารวัตรสาวนักเจรจา เธอเป็นตัวแทนฝั่งใต้ แต่ก็จะมีชายหนุ่มหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญด้านการรับมือเหตุทำนองนี้ที่มาจากฝั่งเหนือด้วย เขาคือ กัปตันชามูฮยอก (Kim Sung Oh/คิมซองโอ จากซีรีส์ ‘A Korean Odyssey’ และ ‘Fight for My Way’) ที่เริ่มต้นแย่งชิงความเป็นหนึ่งและการเป็นคนกุมอำนาจการตัดสินใจ แต่ไม่นานก็เริ่มจะเข้าใจและเริ่มจะประสานงานกัน
ความรู้สึกหลังดู
ปล้นครั้งใหญ่ วางแผนมาดี แต่ใช่จะไม่มีอะไรที่ผิดแผน
โรงกษาปณ์ร่วมระหว่างเหนือ-ใต้คือเป้าหมายของภารกิจการปล้นครั้งนี้ ต่างคนอาจเข้ามาร่วมด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การที่มีคนหนึ่งรวบรวมทีมและวางแผนรวมทั้งมองเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้แทบจะครอบคลุม แต่เขาคือคนที่ไม่ได้ลุยด้วยตัวเอง แต่จะคอยประสานงาน เฝ้าดู รับรู้และแก้ไขปัญหาจากภายนอก ทั้งยังแทรกซึมหาข้อมูลอย่างเข้าถึง ซึ่งมันก็คงเป็นเรื่องดีและจำเป็นต้องมีหากต้องการให้ภารกิจปล้นครั้งนี้สำเร็จ
แต่ขณะเดียวกัน มันก็มีจุดบอดตรงที่ไม่อาจล่วงรู้เหตุการณ์ภายในได้ทุกอย่าง
ในทีมที่ปฏิบัติการนี้ มีเบอร์ลินเป็นหัวหน้าหรือผู้นำ แต่อดีตนักโทษแหกคุกผู้นี้มีแนวคิดในการควบคุมตัวประกันค่อนข้างรุนแรงอยู่หน่อยๆ ซึ่งขัดกับไอเดียที่ศาสตราจารย์วางไว้ จนทำให้เกิดเป็นการเมืองภายในทีมปล้น เมื่อหลายคนเริ่มไม่เห็นด้วยกับการเลือกและตัดสินใจของเบอร์ลิน โตเกียวจึงกลายเป็นอีกฝ่ายที่มาคานอำนาจของเขา
นอกจากเบอร์ลินจะกลายเป็นคนที่ทำให้แผนที่ศาสตราจารย์วางไว้อย่างแยบยลต้องผจญกับปัญหา ตัวประกันเองก็สร้างความปวดหัวให้ทีมปล้นเช่นเดียวกัน ด้วยการเลือกปล้นโรงกษาปณ์หาใช่แค่การปล้นเงินในตู้เซฟแล้วหนี หากเป็นการวางแผนปล้นให้ยาวนานและต้องการเงินระดับมหาศาล ต้องการใช้ตัวประกันช่วยทำงานให้ แถมวางแผนหลบหนีอย่างแยบยล เมื่อต้องใช้ทั้งเวลาและคนเช่นนี้ การผิดแผนจึงอาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ ผสมรวมกับการที่ต้องถูกตำรวจล้อมกรอบไว้ข้างนอก พร้อมปฏิบัติการเมื่อใดที่สบโอกาส
เรื่องที่เกิดขึ้นจึงมีทั้งคาดไว้ไม่ผิด กับที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิด
ทรชนคนปล้นโลก: เกาหลีเดือด ซีซันแรก มี 2 พาร์ท
เล่ากันไปเยอะแล้ว แต่คงเป็นส่วนที่เป็นประโยชน์สำหรับคนที่ยังไม่เคยได้ดูเวอร์ชันดั้งเดิมของสเปน ส่วนหนึ่งก็เพราะผมเองก็ไม่ได้ดูเวอร์ชันก่อน แต่อีกคนเขาดู เลยพอจะรู้ถึงสิ่งที่เกิดระหว่างสองเวอร์ชันนี้อยู่บ้าง
คนที่ดูเวอร์ชันก่อนมาเรียบร้อยแล้ว ย่อมจะมองว่าเวอร์ชันเกาหลีค่อนข้างน่าผิดหวังเพราะพวกเขาไม่เจออะไรใหม่ ทุกสิ่งที่เกิดในเวอร์ชันนี้เดินตามรอยเวอร์ชันดั้งเดิมแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว สิ่งที่แตกต่างก็เพียงสถานที่เกิด สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป และตัวละครที่กลายเป็นคนเกาหลี ซึ่งก็เข้าใจพวกเขานะ ถ้าจะเหมือนขนาดนั้น การต้องมาดูเรื่องราวเดิมซ้ำสองไม่มีทางสร้างความประทับใจกับพวกเขาได้แน่ๆ ไม่ว่าอะไรจะเกิดก็คาดเดาได้หมด ซีรีส์เรื่องนี้จึงอาจจะเหมาะกับคนที่ไม่เคยดูเวอร์ชันสเปนมาก่อน
แต่แม้ทุกสิ่งที่เกิดจะเป็นสิ่งใหม่ ทว่าเรื่องราวบางตอนก็ดูจะไม่ชวนเร่งเร้า หรือสร้างอารมณ์ตื่นเต้นให้กับผู้ชมได้มากมายนัก เอาเข้าจริง ความตื่นเต้นเพิ่งจะมาเกิดในตอนที่ 4 ของพาร์ทแรกด้วยซ้ำ ทั้งที่พาร์ทแรกนี้มีแค่ 6 ตอนเองนะ
สิ่งที่ใช้ในการเล่าเรื่องของซีรีส์ชุดนี้ในพาร์ทแรกคือ การหยิบเอาเบื้องหลังของตัวละครแต่ละตัวมาใส่ไว้ในช่วงแรกของแต่ละตอน ที่ทำให้เราเข้าใจในแบ็กกราวด์และเหตุผลของตัวละครมากขึ้น ก่อนจะเริ่มดำเนินเรื่องต่อไป โดยที่พบว่า เรื่องราวมันค่อนข้างธรรมดาในช่วง 3 ตอนแรก ก่อนที่จะเริ่มมีอะไรมากขึ้นในตอนที่ 4 แล้วมาเข้มข้นชวนลุ้นได้ดีทีเดียวในตอน 5 และ 6
หลังจากจบพาร์ทแรกกันไปแล้วก็ต้องรอคอยการมาของพาร์ทสองกันต่อไป และก็น่าจะมีให้ติดตามต่อในซีซันถัดๆ มาเช่นเดียวกับเวอร์ชันดั้งเดิม