รีวิว Dracula แดร็กคูลา
หลัง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ (จอห์น เฮฟเฟอร์นาน) ทนายอังกฤษดวงกุดหนีออกมาจากปราสาทของ เคาต์แดร็กคูลา (แคลส แบง) เจ้าชายผีดิบรูปงามที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสมุนอมนุษย์ เขาได้บอกเล่าเรื่องราวสุดสยองที่ได้พบเจอให้แก่ ซิสเตอร์อกาธา (ดอลลี เวลส์)
แม่ชีนักล่าแวมไพร์ตระกูล แวน เฮลซิง แต่เมื่อเรื่องราวบรรจบกับเวลาราตรีปัจจุบัน สำนักชีที่เหมือนปราการของพระเจ้าก็ต้องเผชิญศึกจาก เคาต์แดร็กคูลา ผู้หมายมาเอาตัว มีนา ฮาร์เกอร์ (มอร์ฟีดด์ คลาร์ก) คู่หมั้นของโจนาธานเพื่อเอาไปเป็นเจ้าสาวแห่งรัตติกาลของเขาต่อไป งานนี้ซิสเตอร์อกาธาจะกำราบปีศาจร้ายอย่างแดร็กคูลาและปกป้องทุกคนจากความตายได้หรือไม่
นิยายแนวสยองขวัญ Horror แบบคลาสสิกชื่อดังของ บราห์ม สโต็ก นักเขียนชาวไอริช ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบขาวดำเมื่อปี 1931 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำนานความสยองขวัญอันลือลั่นของแดร็กคิวล่าบนสื่อบันเทิงครั้งแรก และล่าสุดของ Netflix ปี 2020 ที่เพิ่งเข้าฉาย เป็นผลงานของทีมงานที่เคยสร้างลิมิเต็ดซีรีส์ชื่อดังอย่าง Sherlock ที่เคยฉายทางช่อง BBC มาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปอย่างมาก มีคะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDb สูงกว่า 9.1 รีวิว Dracula
หลัง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ (จอห์น เฮฟเฟอร์นาน) ทนายอังกฤษดวงกุดหนีออกมาจากปราสาทของ เคาต์แดร็กคูลา (แคลส แบง) เจ้าชายผีดิบรูปงามที่เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสมุนอมนุษย์ เขาได้บอกเล่าเรื่องราวสุดสยองที่ได้พบเจอให้แก่ ซิสเตอร์อกาธา (ดอลลี เวลส์)
แม่ชีนักล่าแวมไพร์ตระกูล แวน เฮลซิง แต่เมื่อเรื่องราวบรรจบกับเวลาราตรีปัจจุบัน สำนักชีที่เหมือนปราการของพระเจ้าก็ต้องเผชิญศึกจาก เคาต์แดร็กคูลา ผู้หมายมาเอาตัว มีนา ฮาร์เกอร์ (มอร์ฟีดด์ คลาร์ก) คู่หมั้นของโจนาธานเพื่อเอาไปเป็นเจ้าสาวแห่งรัตติกาลของเขาต่อไป งานนี้ซิสเตอร์อกาธาจะกำราบปีศาจร้ายอย่างแดร็กคูลาและปกป้องทุกคนจากความตายได้หรือไม่
Dracula เดิมเป็นนิยายแนวสยองขวัญ Horror แบบคลาสสิกชื่อดังของ บราห์ม สโต็ก นักเขียนชาวไอริช ซึ่งต่อมาได้มีการดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แบบขาวดำเมื่อปี 1931 ถือว่าเป็นการเริ่มต้นการสร้างตำนานความสยองขวัญอันลือลั่นของแดร็กคิวล่าบนสื่อบันเทิงครั้งแรก แล้วหลังจากนั้นก็มีนักสร้างหนังและนักเขียนที่ดัดแปลง ต่อยอด เรื่องราวของแดร็กคิวล่าออกไปตามสื่อต่างๆทั่วโลก
สำหรับฉบับล่าสุดของ Netflix ปี 2020 ที่เพิ่งเข้าฉาย เป็นผลงานของทีมงานที่เคยสร้างลิมิเต็ดซีรีส์ชื่อดังอย่าง Sherlock ที่เคยฉายทางช่อง BBC มาก่อน ซึ่งก็ได้รับคำชื่นชมทั้งจากนักวิจารณ์และคนดูทั่วไปอย่างมาก มีคะแนนเฉลี่ยในเว็บ IMDb สูงกว่า 9.1
ดังนั้นการกลับมาสร้างผลงานอีกครั้งของทีมสร้างชุดนี้สำหรับลิมิเต็ดซีรีส์เรื่องล่าสุดคือ แดร็กคิวล่า กับทางช่อง BBC จึงนับว่าเป็นผลงานที่ได้รับความคาดหวังและถูกโปรโมทไว้มากพอสมควรครับ แล้วล่าสุดก็เข้าฉายครบทั้ง 3 ตอนใน Netflix เรียบร้อย
สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบอกไว้ก่อนจะตัดสิน มินิซีรีส์ 3 ตอนจบนี้ว่าเป็นเพียงเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็คือ เรื่องย่อที่เราเพิ่งเล่าไปเป็นเพียงแค่เรื่องย่อของตอนแรกเท่านั้น ! ใช่ครับ เพราะอีก 2 ตอนที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยการดำเนินเรื่องที่เกินคาดเดา ด้วยว่า Dracula ฉบับนี้เป็นไอเดียของ มาร์ค เกทิสส์ และ สตีเฟน มอฟแฟตต์ สองครีเอเตอร์ที่เคยกุมบังเหียน Sherlock ซีรีส์เชอร์ล็อค โฮมส์ สุดฮิตของ BBC
ที่คราวนี้ก็มาจับมือกับ Netflix และดึงพวกเขามาคิดมาเขย่าไอเดียเล่าเรื่องแดร็กคูลาในมุมมองใหม่ ซึ่งเอาเข้าจริงเราก็ผ่านหนัง-ซีรีส์แวมไพร์กันมาจนเฝือแล้ว และส่วนใหญ่ก็หนีไม่ค่อยพ้นสิ่งที่ บราม สโตเกอร์ ผู้ประพันธ์นิยาย Dracula กล่าวไว้สักเท่าไหร่ด้วยกฎเกณฑ์ซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทั้งเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน สร้างสมุน และตามหาเจ้าสาวรัตติกาล
ซึ่ง Dracula ฉบับมินิซีรีส์หนังออนไลน์นี้ก็ยังนำเอาแนวคิดดังกล่าวมาปรับใช้ แต่ที่โดดเด่นมาก และไม่มีหนังแดร็กคูลาเรื่องไหนเคยทำคือการตั้งคำถาม ดังนั้นเราเลยเห็นการเล่าเรื่องในมุมมองของ ซิสเตอร์อกาธา ซึ่งโดยปกติตัวละครแม่ชีมักเป็นแค่ตัวประกอบ
แต่ Dracula ก็เพิ่มรายละเอียดเข้าไปว่าเธอสืบเชื้อสายมาจากตระกูล แวน เฮลซิง หรือผู้ที่ปราบเคาต์ วลาด แดร็กคูลา ได้สำเร็จนั้นแหละครับ ซึ่งซีรีส์ก็เล่นกับชื่อ นามสกุล ตัวละครในนิยายฉบับ บราม สโตเกอร์ อย่างสนุกสนานทีเดียว
รีวิว Dracula แดร็กคูลา
การเล่าเรื่องใหม่
โดยการเล่าเรื่องที่เราพอบอกได้แบบไม่สปอยล์คือ 3 ตอนของมินิซีรีส์ Dracula แทบจะเป็นหนังคนละแนว โดยตอนแรกเป็นการปูพื้นและทวนภาพจำของผู้คนที่มีต่อเรื่องราวของแดร็กคูลาในแนวโกธิค-สยองขวัญ เราจะได้เห็นสิ่งที่คุ้นเคยทั้งปราสาทบนภูเขารวมไปถึงตัวละครที่เราคุ้นเคยตั้งแต่ฉบับนิยายทั้ง ฮาร์เกอร์ แดร็กคูลา แวน เฮลซิง เรื่อยไปจนถึงการปูพื้นเรื่องกลัวแสงแดด แพ้ไม้กางเขน และภารกิจตามหาเจ้าสาวรัตติกาล
โดยมีสมุนอย่าง โจนาธาน ฮาร์เกอร์ ทนายหนุ่มผู้โชคร้ายจากเกาะอังกฤษที่ถูกขอให้อยู่เพื่อสอนภาษาอังกฤษและมารยาทพื้นฐานก่อนเคาต์ แดร็กคูลา มีแผนจะย้ายไปอยู่ยังลอนดอน.. ใช่แล้วครับ เป้าหมายของแดร็กคูลาคราวนี้คือนอกจากการตามหาเจ้าสาวแล้ว ยังเป็นการไปหาแหล่งที่อยู่ใหม่
และเขาก็เลือกลอนดอน ประเทศอังกฤษ ด้วยหวังจะใช้ชีวิตและดูดเลือดจากเหล่าปัญญาชน ส่วนตอนที่ 2 คือจุดเริ่มของเซอร์ไพรส์ เพราะคราวนี้โทนการเล่าเรื่องเริ่มขยับมายังหนังแนวเอาตัวรอดในเรือโดยสาร เพราะคราวนี้ผู้โดยสารแปลกหน้าแต่ละคนจะต้องหนีการตามล่าของผีดิบดูดเลือด และตอนนี้ยังเล่นกับการวิพากษ์เรื่องชนชั้น เรื่องรสนิยมทางเพศ
ส่วนตอนสุดท้ายนี่แหละไฮไลต์เด็ด..เพราะมันเล่าเรื่องเป็นหนังไซไฟ-สยองขวัญที่ไม่ได้อยู่แค่ปี 1896 เหมือน 2 ตอนแรกแล้ว มิหนำซ้ำยังวิพากษ์สังคมได้อย่างเจ็บแสบ เปรียบเทียบการเสพย์ติดวัตถุกับเลือด ได้อย่างคมคายแบบไม่คิดว่าหนังหรือซีรีส์ แดร็กคูลา จะมาได้ไกลขนาดนี้เลยแหละ
ความรู้สึกหลังดู
การตีความใหม่เรื่องความกลัวของแดร็กคิวล่า
เนื่องจากในซีรีส์ของ Netflix ค่อนข้างเน้นหนักเกี่ยวกับการตีความในมุมความเชื่อเกี่ยวกับแวมไพร์ และเรื่องที่ว่า “ทำไมแดร็กคิวล่าถึงกลัวไม้กางเขน แพ้แสงอาทิตย์ และไม่
สามารถเข้าไปในสถานที่ต่างๆได้หากไม่ถูกเชิญเข้าไป”
ซึ่งเรื่องส่วนนี้ก็จะถูกบอกเล่าและวิเคราะห์ผ่านทางตัวละครสำคัญคือ แม่ชีอากาธ่า รวมถึงทายาทรุ่นหลังอย่างโซอี้ ว่าทำไมอสุรกายที่มีชีวิตอยู่มา 500 ปี แถมมีพลังมากแบบนี้
ถึงกลัวและแพ้อะไรที่มันแปลกประหลาด และดูขัดกับอำนาจที่มันมีอยู่ รวมถึงการตีความแดร็กคิวล่าในมุมของความกลัวที่เขามีต่อไม้กางเขนในแง่มุมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ
จุดนี้ทำให้เรื่องราวของแดร็กคิวล่าในเวอร์ชั่น Netfix ดูมีมีติมากขึ้น (แบบแปลกๆ) ซึ่งก็อาจจะเป็นทั้งข้อดีและข้อด้อยสำหรับคนที่เคยรับชมในเวอร์ชั่นเก่ามาก่อน แต่ก็ถือว่าเป็น
ความพยายามที่จะไม่ทำให้เรื่องของแดร็กคิวล่าดูซ้ำซากจำเจครับ
แล้วอีกจุดหนึ่งที่ทีมสร้างหนังใหม่เต็มเรื่องทำออกมาสนุกๆ นั่นคือมีการทำ Easter Egg อ้างอิงไปถึงเรื่อง Sherlock เล็กน้อยด้วยครับ จากบทพูดของแม่ชีอกาธ่า ที่เธออ้างอิงว่า ได้ขอให้นักสืบที่รู้จักกันซึ่งอยู่ในลอนดอนช่วยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับมีน่าและโจนาธาน รวมถึงเชื่อมโยงไปถึงเคาน์แดร็กคิวล่าด้วย
จุดเด่น
อีกจุดที่เจ๋งมากคือการสร้างคาแรกเตอร์ แดร็กคูลา และ ซิสเตอร์อกาธา ในซีรีส์นี้ ที่ไปไกลกว่าแค่การเป็นเรื่องของความดีชนะความชั่วน่าเบื่อ ๆ อย่างที่ผ่านมา เพราะคราวนี้การได้ แคลส แบง นักแสดงหนุ่มหล่อชาวเดนมาร์กได้ทำให้แดร็กคูลาฉบับนี่กลายเป็นหนุ่มหล่อเสน่ห์แรง ฉลาดและแสนอันตราย มากกว่าการเป็นปีศาจหลอกหลอนสร้างความน่ากลัวแบบฉบับอื่น ๆ
จนทำให้ตัวละครแดร็กคูลาฉบับนี้ดูน่าจดจำและน่ามองกว่าฉบับอื่นเยอะเลย และอีกตัวละครที่ทำได้ดีมากคือ ซิสเตอร์อกาธา ที่ได้ ดอลลี เวลส์ มาเติมบุคลิกแบบนักวิทยาศาสตร์ที่มองแดร็กคูลาเป็นทั้งศัตรูและผลงานทดลองความเชื่อของตัวเอง เรียกได้ว่าบทซีรีส์สามารถพลิกให้ตัวละครที่เหมือนจะเป็นตัวประกอบกลายเป็นไฮไลต์สำคัญที่ทำให้ซีรีส์ดูสนุกทีเดียว
จุดด้อย
แต่จุดที่อาจจะมองว่าด้อยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน เช่น การดัดแปลงบทบาทของตัวละครจากในต้นฉบับดั้งเดิมจนทำให้ตัวละครหลักบางคนในต้นฉบับมีบทน้อยลงมาก ตัวอย่างเช่น มีน่า รวมถึงการตัดบทของโจนาธานให้ตายตั้งแต่ตอนแรก แต่ตรงนี้ก็เข้าใจได้ว่าเพราะทีมสร้างขุดใหม่ต้องการสร้างความแตกต่าง แล้วปรับบทของแวนเฮลซิ่ง
ให้มากขึ้นแทนนั่นเองอีกจุดที่เป็นทั้งข้อเด่นและด้อยก็คือ สไตล์การเดินเรื่อง เพราะการปราบแวมไพร์ในเรื่องนี้อาจจะไม่เหมือนกับในรูปแบบที่ฮอลลีวูดเคยสร้างเอาไว้ แต่เป็นการวางแผนหาทางต่อสู้กับแดร็กคิวล่าด้วยมันสมอง บทพูด กลทางจิตวิทยา ซึ่งตัวละครประเคนใส่กัน แล้วก็ทำให้เราได้แดร็กคิวล่าที่มีสมองเฉลียวฉลาดมากตนหนึ่งเข้ามาในโลกบันเทิงจนได้ครับ
ส่วนในตอนจบของเรื่อง หลายคนอาจจะรู้สึกว่า จบแบบห้วนไปไหม หรือว่าตัดจบ ที่จริงแล้วมันก็เป็นบทสรุปของแดร็กคิวล่าในแนวใหม่ที่น่าสนใจครับ เพราะมุ่งเจาะและสำรวจตัวละครแดร็กคิวลงไปลึกจนถึงความปรารถนาในการดำรงอยู่ของตัวเขาเอง ตรงนี้แนะนำว่าลองดูกันให้จบ ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีความเห็นที่แตกต่างกันไป