รีวิว Alive (2020) – ต้องรอด
Alive อีกหนึ่งภาพยนตร์ที่เกาะกระแส asset ใหม่ ‘ซอมบี้สัญชาติเกาหลี’ ทีแรกนึกว่าจะไม่เข้าไทยซะแล้ว ผมเองก็เกือบหลวมตัวไปโหลดบิตมาดูด้วยความอยากดูมากๆไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่า เกาหลีจะขโมยวัฒนธรรมซอมบี้ของฝั่งตะวันตกให้กลายเป็นแนวหนังเฉพาะตัวของตนเองแล้วส่งเอาไปขายต่างประเทศได้อีก
แต่ก็โชคดีไปครับที่ทางเน็ตฟลิกซ์ไทยประกาศว่าซื้อเรื่องนี้มาฉายพอดี ถ้าช้ากว่านี้อีกนิดได้มีรู้สึกผิดกับต้ัวเองแน่ๆ เลยซึ่งกลายเป็นของเด่นของดังให้งานบันเทิงเกาหลีผงาดขึ้นเรียกความสนใจจากทั่วโลก ทั้งๆที่ผีดิบซอมบี้มีมานานแล้วจากฟากบันเทิงตะวันตก
เริ่มจากคลื่นความนิยมลูกใหญ่จากฝั่งหนังอย่าง Train to Busan และสานต่อด้วยคลื่นกระแทกที่สองจากฝั่งซีรีส์ที่มีซอมบี้ย้อนยุคทางเน็ตฟลิกซ์อย่าง Kingdom ที่ความนิยมสูงมาทั้ง 2 ซีซัน จึงไม่แปลกเลยที่เน็ตฟลิกซ์จะจับกระแสนี้ได้และดึงหนังฉายโรงอย่าง Alive มาเติมเต็มความต้องการของผู้ชมสตรีมมิ่งของตนเองได้อย่างทันท่วงที
จะว่าไป พักหลังๆ เกาหลีเค้าก็ขยันทำหนังแนวซอมบี้เหมือนกันนะครับ ก่อนหน้านี้ก็ Peninsula ที่เพิ่งเข้าฉายไปเดือนที่แล้ว แต่ละเรื่องนี่ก็เรียกได้ว่า สนุก ไม่ถึงกับสดใหม่ แต่ก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว แถมทำเงินกันทั้งนั้นเลย
กับ Alive เองก็ถือว่าทำได้ดีเมื่อเทียบกับหนังใน genre เดียวกัน มีพล็อตง่ายๆ สไตล์มินิมอลที่ว่าด้วยชายหนุ่มและหญิงสาวแปลกหน้าที่ต้องจับมือกันหาทางเอาตัวรอดจากอพาร์ทเมนต์ที่ยั้วเยี้ยไปด้วยฝูงซอมบี้กระหายเลือด
ALIVE มีมุมน่าสนใจในการหยิบซอมบี้มาเป็นบทสำคัญในการสร้างเรื่องราวการเผชิญหน้าจัดการปัญหา และการเติบโตทางความคิดของเด็กหนุ่มธรรมดาๆในสังคมคนหนึ่ง เด็กหนุ่มที่แอคทีฟเก่งกล้าเป็น somebody ในโลกเกมออนไลน์
แต่การไฟต์ติงเพื่อรอดในชีวิตจริงแบบเป็น nobody ไม่ประสีประสาทักษะชีวิตอื่นๆ ก็เป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเจอ ถึงคราวเจอก็ออกจะอยากมองข้ามด้วยซ้ำ อยากทิ้งให้เป็นปัญหาของผู้ใหญ่ของสังคมด้วยมุมมองของเด็กติดเกมที่มักไม่สนใจเรื่องใดๆรอบตัวอยู่แล้ว แม้แต่คำพูดของแม่เตือนให้ไปเรียนไปซื้อของกินยังถูกละเลยเสมอ
หนังมีนัยในการสื่อการย้ายโลกทัศน์ของเขาออกจากจอคอมหรือเกมซึ่งมีเพื่อนๆเยอะก็จริง ออกมาเจอเพื่อนใหม่ในโลกจริงออฟไลน์ ที่แม้จะมีแค่คนเดียวในสถานการณ์วิกฤตนี้ ก็สุดแสนจะมีค่า แต่ในขณะเดียวกันก็สะท้อนมุมดีๆอีกด้านของสื่อโซเชียลในโลกยุคดิจิตอล ที่เหมือนลมหายใจเข้าออกของคนยุคนี้ ให้มีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ผู้คนรอดตายหายใจได้ต่อไป
เว็บดูหนังออนไลน์ฟรี 24 ชั่วโมง
รีวิว Alive (2020) – ต้องรอด
เรียกได้ว่า หนังเรื่องนี้จะโฟกัสโมเมนท์การเผชิญหน้ากับปัญหาและเอาชีวิตให้รอดพ้นจากอันตรายของซอมบี้ หนังลดทอนรายละเอียดบริบทอื่นๆออกไป และจะดำเนินเรื่องให้เราเห็นพัฒนาการของตัวละครจุนอูที่ค่อยๆเปลี่ยนไป ทั้งการมองปัญหา
การเรียนรู้วิธีการเอาชีวิตรอด และความคิดการตัดสินใจ แซมด้วยฉากแอคชันตื่นเต้นลุ้นหวาดเสียวบ้างเป็นครั้งคราว ฉากกดดันความรู้สึก ชวนอึดอัด หรือแม้กระทั่งความหดหู่สิ้นหวัง ซึ่งก็ยังมีสลับหยอดความหวังมาชูใจบ้าง ให้คนดูคอยตามติดลุ้นกลับไปกลับมาว่า เขาจะปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ เพราะไม่เพียงต้องสู้กับซอมบี้ แต่ต้องสู้กับความกลัว สู้กับใจตัวเองด้วย
โดยสรุป จึงเป็นความสนุกในแบบที่ต้องไม่ตั้งความคาดหวังแอคชันกระหน่ำ หรือทริลลิงสุดระทึก หรือเรื่องราวที่มาที่ไปมากมาย แบบหนังซอมบี้อื่นๆที่เคยชมมา เพราะหนังเรื่องนี้คงตั้งใจให้ผู้ชมโฟกัสกันไปที่ how to be alive ทั้งความหมายตรงตามตัวอักษร (literally) และ ความหมายนัยที่แฝงไว้เป็นสาระให้เอาไปคิดต่อกันค่ะ
โอจุนอู (รับบทโดย ยูอาอิน) เด็กวัยรุ่นที่อาศัยอยู่ในบ้านอพาร์ตเมนต์ กับพ่อแม่และพี่สาว เขามักโดดเรียนประจำ เพราะติดเกม ตื่นสายและเอาแต่ฝังตัวอยู่ในห้องเล่นเกมช่ำชองจนมีเพื่อนในเกมออนไลน์เยอะแยะ วันหนึ่งที่เขาตื่นมาลำพังในบ้าน แล้วพบกับความโกลาหลรอบอพาร์ตเมนต์ที่อาศัยอยู่ เพราะมีฝูงซอมบี้วิ่งไล่กัดผู้คน ซึ่งพากันวิ่งหนีอย่างแตกตื่นทั้งด้านนอกและในอาคารทั่วบริเวณละแวกบ้าน
จากข่าวรายงานว่า อาการซอมบี้ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนนี้ เป็นที่ถกเถียงจนเชื่อว่าคือโรคติดเชื้อจากไวรัส (ช่างดูเข้ากับบรรยากาศโควิด-19 ระบาดเลย) ที่เข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเราเปลี่ยนไปมีพฤติกรรมความรุนแรง หิวโหยไล่กัดกินเนื้อคน
คนถูกกัดก็จะติดเชื้อออกอาการซอมบี้ ลามระบาดกันต่อๆไป เบื้องต้นทางการก็ได้แต่เตือนให้ประชาชนอยู่ในบ้านเพื่อความปลอดภัย หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้หรือสัมผัสผู้คนที่ติดเชื้อ ใครๆก็ไว้วางใจไม่ได้ แต่ถ้าต้องหลบตัวเงียบๆอย่างหวาดระแวงอยู่อย่างนี้ต่อเนื่องนานหลายๆวัน หรือเป็นเดือน ชีวิตจะเป็นอย่างไร คงไม่ง่ายหรอก
ยูบิน (รับบทโดย พัคชินฮเย) เป็นหญิงสาวอีกคนที่ยังรอดพ้นจากการติดเชื้อ และยังหลบอยู่ในบ้านอพาร์ตเมนต์ฝั่งตรงข้ามกับจุนอูโดยลำพังเช่นกัน ซึ่งจุนอูเพิ่งมาพบเห็นเธอภายหลังจากที่ตัวเองผจญภัยกับซอมบี้ไปอย่างทุลักทุเล
จนจวนจะสิ้นสุดความอดทนกับการต่อสู้เพียงลำพังไปซะละ ยูบินจะมาเป็นทั้ง ‘ตัวช่วย’ และ ‘เพื่อน’ คนใหม่ คนเดียวที่มีค่ามากสำหรับจุนอู การได้พบกับยูบิน เหมือนได้แรงบันดาลใจและความหวังที่จะผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายนี้ไปด้วยกันให้ได้ และจะเป็นจุดเปลี่ยนแปลงชีวิตเขา
ความรู้สึกหลังดู
เทียบกับ Train to Busan หรือ Peninsula เรื่องนี้จัดว่าสเกลเล็กกว่าสองเรื่องนั้นมากเลยครับ ไม่ว่าจะด้วยเนื้อเรื่องหรือโลเคชั่น เรียกว่าเป็นหนังซอมบี้ไซส์จิ๋วก็ว่าได้ เด่นในแง่ของการสร้างสรรค์เรื่องราว แต่ด้านบทนี่ก็ยังอ่อนมากๆ อยู่ครับ
ว่ากันตรงๆ หนังก็สนุกดีครับ แถมยาวแค่ชั่วโมงครึ่งเอง ส่วนใหญ่หนังก็เน้นไปที่การเล่าหนทางการเอาชีวิตรอดในพื้นที่จำกัดของตัวเอก มีการสร้างสถานการณ์ชวนลุ้นเป็นระยะๆ ให้เราไม่รู้สึกเบื่อหน่าย แต่ถึงจะยาวแค่ 98 นาที หนังก็มีช่วงอืดเยอะมาก เยอะจนรู้สึกว่าหนังแทบไม่เดินไปข้างหน้าเลย กลางเรื่องนี่ช้ามาก แถมมองภาพรวมก็ยังดูแห้งๆ ไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่เลย มันไม่มีอะไรน่าดึงดูดเลยจริงๆ นะครับ
จริง ๆ ความเจ๋งของหนังเรื่องนี้คือ การเซ็ตเรื่องราวให้เกิดขึ้นในห้อง แบบสถานการณ์ที่ตัวละครเป็นหนูติดจั่น ออกข้างนอกห้องลำบากเพราะมีฝูงซอมบี้รายล้อม ในขณะที่สถานการณ์ในห้องก็บีบบังคับเหมือนห้องกับดักที่มีน้ำเอ่อสูงขึ้นเรื่อย ๆ อย่างกับในหนังผจญภัย เพราะเริ่มที่เสบียงมีจำกัดซ้ำร้ายยังเกิดเรื่องราวให้เสบียงหดหายไปไวขึ้นอีก
จากนั้นการรับรู้สถานการณ์ต่าง ๆ ก็ค่อย ๆ ถูกตัดทอนลงเรื่อย ๆ เหมือนคนที่ถูกปิดผัสสะต่าง ๆ ทีละอย่าง ตั้งแต่ ห้ามส่งเสียงดัง สัญญาณมือถือที่ขาดหาย จากนั้นก็เริ่มลามไปสู่อินเทอร์เน็ต โทรทัศน์ จนในที่สุดก็แทบไม่รู้อะไรโลกภายนอกอีกเลย ตัวละครต้องประยุกต์ใช้สิ่งที่ตัวเองมีเอาตัวรอด และเป็นหนังที่ตัวละครใช้ประโยชน์จากโดรนได้คุ้มค่ามากเรื่องหนึ่ง
และด้วยเวลาที่บีบให้ตัวเอกต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะอดตาย เขาก็ได้พบกับผู้รอดชีวิตอีกคนที่อยู่อีกฝั่งตรงข้าม ก็ทำให้หนังเล่นสถานการณ์ต่อเนื่องไปได้อีกขยัก ทว่าจุดที่น่าเสียดายก็มาจากตรงที่หนังเริ่มทิ้งไอเดียเรื่องการเอาตัวรอดในห้องปิดตายไปนี่เอง การถูกปิดตาปิดหูปิดโลกภายนอกที่อุตส่าห์สร้างมาได้น่าสนใจ ก็ยังขยี้ใช้ได้ไม่เต็มที่ดี
ซึ่งปัญหานี้ในองก์ต่อมาที่พระเอกเจอนางเอกแล้วก็ทวีความน่าเป็นห่วงขึ้นไปอีก เพราะหนังต้องไปเล่นท่าประหลาดจากหนังเอาตัวรอดกลายเป็นหนังบู๊ 1 ต่อ 100 ที่ดูเกินจะเชื่อ ทั้งการออกแบบฉากหนีตายพร้อมสู้กับฝูงซอมบี้ก็ดูไม่ค่อยหนักแน่นลงตัวนัก ความเชื่อถือต่อหนังเลยยิ่งอ่อนแอลงไปอีก นี่ยังไม่นับสภาพว่าคนที่ติดอยู่ในห้องเป็นเดือน ๆ (นึกภาพคนกักตัวอยู่บ้านช่วงโควิด-19 ที่แย่กว่าตรงที่ไม่มีอาหารดี ๆ มากพอเต็มมื้อมาเสิร์ฟเรื่อย ๆ) แล้วจะยังดูไม่ค่อยอิดโรย แถมยังแข็งแรงฟิตเปรี๊ยะได้ขนาดนั้นอีก
ดูหนังออนไลน์ฟรีไม่กระตุกภาคไทย
ทว่าในความที่คิดแบบฉากต่อไปจะเป็นอะไรได้อีก ไปเรื่อย ๆ ที่อาจสร้างรูโหว่ในบท และการเปลี่ยนแนวหนังไปเรื่อย ๆ ถึง 3 ครั้งจากเอาตัวรอดห้องปิดตาย เป็นบู๊ระห่ำเพื่อช่วยเธอ จนไปถึงองก์ท้ายที่กลายเป็นดราม่าเขย่าขวัญจิตวิทยา ที่ทำให้หนังไม่ค่อยเป็นหนึ่งเดียวกันนัก และกราฟความมันก็ไม่ค่อยไต่ได้ดีนักในองก์ท้าย
อย่างไรก็ดีหนังก็วางตัวเป็นหนังซอมบี้ที่ดูง่ายเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อนมาก เหมาะกับการดูเพื่อพักผ่อนเอาสนุกเอามันแบบไม่เครียดจัดเกินไป ซึ่งอาจเป็นข้อดีที่พอให้อภัยจากการที่มันไม่ได้ฉายโรงและลงสตรีมมิงทันที และว่ากันแบบแฟร์ ๆ ในความไม่คงที่ของหนัง ก็ยังดูกลมดูอิ่มดูพอเป็นไปได้มากกว่าภาคต่อของ Train to Busan อยู่หลายขุมอยู่
เป็นซีรีส์มีความเกริ่นนำได้ดีชวนติดตาม ตัวเนื้อเรื่องสามารถเล่าพล็อตเดิมๆ ออกมาได้ดีและน่าสนใจ มีที่มาที่ไป ชวนให้อยากรู้อยากติดตามต่อ ว่าเชื้อไวรัสซอมบี้ที่กลายพันธุ์ออกมานั้นมีที่มาจากอะไร โดยแต่แรกเลยเค้าจะมีใบ้ให้ในภาพ Animation
ประกอบ Intro Sound Track อธิบายที่มาที่ไปของเชื้อไวรัสซอมบี้ที่ทำให้คนกลายพันธุ์เอาไว้ได้อย่างแปลกตา น่าขนลุก เล่นกับความรู้สึกคนได้ดี ภาพสวยงามและเนื้อเรื่องน่าสนใจ กระตุ้นความอยากรู้มากขึ้นไปอีก และอยากให้หนังเฉลยปมที่มานี้ไวๆ
เนื้อเรื่องมีความค่อยๆ บีบคั้นและกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 1 ไป 2…3…4… ไปจนถึง 10 และด้วยความที่หนังมันไล่ระดับความหลอนและความกดดันไปเรื่อยๆ นี่แหละ เลยทำให้คนดูรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ด้วยจริงๆ
และตัวบทสื่อออกมาได้อินจริงๆว่าการที่เราต้องเอาตัวรอด ต้องอยู่คนเดียว หรืออยู่ในภาวะที่ต้องกักตัวในพื้นที่จำกัดนั้นสามารถทำให้คนเรารู้สึกอึดอัด หวาดกลัว เครียดและกดดันจนแทบเป็นบ้าได้เลยจริงๆ นะ ซึ่งหนังขยี้ปมตรงนี้ออกมาดีมาก
ถ้าให้นึกถึงสถานการณ์ล็อกดาวน์จากการระบาดของโควิด-19 ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลายคนอาจดูหนังเรื่องนี้ไปพร้อมกับอารมณ์ร่วม ที่ต้องติดแหง็กอยู่ในบ้าน เนื่องจากมีไวรัสร้ายแพร่ระบาดอยู่ การดูหนังซอมบี้เรื่องนี้ก็ทำให้อินไม่น้อย
แต่ถ้ากล่าวโดยตัวหนังแล้ว ก็ยังถือว่าดูได้เพลิน ๆ แต่สำหรับคนที่ดูหนังซอมบี้มาทุกแบบทุกแนวแล้ว หนังเรื่องนี้ก็อาจจะมีค่าแค่หนังซอมบี้อีกเรื่องหนึ่ง ก็เท่านั้น